จุดสตาร์ท 1,400
สำหรับเนื้อเรื่องที่จะเม้าท์ในวันนี้ขอพูดถึงการแกว่งตัวของดัชนีตลอดปี 67 บนกรอบ 1,270-1,500 จุดสักหน่อยโดยการเคลื่อนตัวส่วนใหญ่อยู่ในกรอบ 1,300-1,400 จุด
สำหรับเนื้อเรื่องที่จะเมาท์ในวันนี้ขอพูดถึงการแกว่งตัวของดัชนีตลอดปี 67 บนกรอบ 1,270-1,500 จุดสักหน่อยโดยการเคลื่อนตัวส่วนใหญ่อยู่ในกรอบ 1,300-1,400 จุด และมาขึ้นจริง ๆ ในช่วงกลางเดือน ส.ค. ถึงช่วงกลางเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นจังหวะที่ดัชนีขยับก้นขึ้นต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากกองทุนวายุภักษ์ที่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นอย่างดุดัน แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่โหมดเกียร์ว่างอีกตามเคย..จำกันได้บ่!
ที่น่าสนใจคือ การแกว่งตัวตลอดปี 67 อาจทำให้ทิศทางของตลาดหุ้นดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะเป็นการยืนปิดในลักษณะตุปัดตุเป๋เป็นส่วนใหญ่ แต่เดี๊ยนกลับมองว่า สถานการณ์ที่แย่ ๆ ตลาดหุ้นไทยก็ยังฝ่ามาได้ จึงทำให้แรงกดดันต่าง ๆ ที่มีผลต่อตลาดหุ้นลดลงตามไปด้วย ขณะเดียวกันก็ทำให้ดัชนีมีฐานมั่นคงในการขึ้นรอบใหม่ น้องโมเลยเชื่อว่า ในปี 68 ดัชนีจะมีจุดสตาร์ทที่ระดับ 1,400 จุดนะจะบอกให้
ฉะนั้นการเคลื่อนตัวของดัชนีในปีนี้ จึงมีความเป็นไปได้ทั้งรูป V-shape รูป W-shape รูป และ M-shape “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักลงทุนทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกสักครั้ง (อยากให้นักลงทุนลองประเมินดู แม้จะเป็นเรื่องเก่าที่ชอบพูดถึงเป็นประจำเมื่อดัชนีเริ่มย่ำฐาน) เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนี้ก็คือ นักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ น่าจะหวนกลับมาเล่นเต็มตัวในเดือน ม.ค. ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการซื้อขายน่าจะคึกคักขึ้นเป็นลำดับเจ้าค่ะ
งานนี้ไม่มีใครทำอะไรได้ทั้งนั้น!!..ยกเว้นนักลงทุนรายย่อยจะช่วยกันรับของดี และหาจังหวะซื้อของเพิ่มเป็นระยะ เพราะแหล่งข่าวของสายสืบสองสลึงยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เดือนนี้นักลงทุนต่างชาติจะหันมาเป็นผู้ซื้อสุทธิอีกครั้ง และอธิบายว่า เดือนแรก ๆ ของการซื้อหุ้นอย่างจริงจังจะมีมูลค่าอยู่ที่ระดับ 7-8 พันล้านบาท…ส่วนรอบนี้จะซื้อหนักเกินกว่าที่เม้าท์หรือไม่?..โปรดติดตามตอนต่อไปนะตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ “โมนิก้า” ถึงมองการยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,400.21 จุด ลบไป 1.25 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.18 หมื่นล้านบาท น่าจะเป็นการช้อนของข้ามปีเหมือนที่เคยเม้าท์ให้ฟังก่อนหน้านี้ และแกนหลักที่เป็นตัวยืนของการเล่นต่อจากนี้ยังเป็นกองทุน และในปีนี้น่าจะได้เห็นกองหนุนประเภทซื้อของรอบใหม่เป็นต่างชาติ ส่วนนักลงทุนที่เป็นรายย่อยก็คงเข้ามาเล่นหุ้นตามรอบอีกเหมือนเคย เพราะธรรมชาติรังสรรค์มาแบบนี้พะย่ะค่ะ
เช่นเดียวกับในรายของหุ้น DELTA ที่มีลักษณะ “ขึ้นได้ ขึ้นดี” ก็เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันต้องเล่น เพราะมีสตอรี่เกี่ยวกับกำไรโตเข้ามาซัพพอร์ต ผนวกกับมีกระแสเกี่ยวกับโลกยุค AI เข้ามาเป็นแรงกระตุ้น บรรดานักเล่นเลยไม่สนใจว่า ราคาหุ้นจะแพงขนาดไหน? เพราะพากันเชื่อว่า ในวันข้างหน้าจะมีแพงกว่า! วอลุ่มการซื้อขายถึงหนาแน่น ก่อนจะปิดเสมอตัวไปที่ระดับ 152.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.84 พันล้านบาทจ้า!
ส่วนหุ้นที่เหมาะแก่การซื้อลงทุนทุกยุคทุกสมัยก็คือ ADVANC เป็นหุ้นที่เรียกได้เต็มปากตัวเก๋าของตลาดหุ้นไทย ซึ่งนักลงทุนควรหาทางสะสมไว้ในพอร์ต โดยเฉพาะช่วงที่หุ้นกำลังจะเทคตัว ถือเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างแท้จริง หลังราคาหุ้นชะลอตัวด้วยการยืนปิดที่ระดับ 287 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 0.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 988 ล้านบาท.งานนี้ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่อย่ามาเสียใจในภายหลังนะคะ
เช่นเดียวกับในรายของ SCB และ MTC “โมนิก้า” มองจากความเป็นจริง สถานการณ์จริง และนักลงทุนตัวจริงก็พบว่า หุ้นสองตัวดังกล่าวหยุดนิ่งมานาน และด้วยราคาที่ต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างเยอะ หากราคาหุ้นยังอ่อนตัวลงมาอีกเรื่อย ๆ ก็สมควรที่ช้อนซื้อเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นหุ้นที่ยังทำผลงานได้ดี..ที่สำคัญต้องจำไว้ว่า “พื้นฐานตอนนี้ก็ยังดูดี แต่ในอนาคตก็น่าจะดีขึ้น”..มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทิ้งหุ้นด้วยล่ะคะ
ตบท้ายกันที่หุ้นทางเลือกเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนในอนาคต เพราะ PCE เป็นหุ้นที่ทรงสวย (เขาว่าไว้อย่างนั้น) และในปี 68 จะเริ่มเห็นผลกำไรออกมาเป็นกอบเป็นกำ และที่เดี๊ยนต้องกล่าวถึงในวันนี้ ล้วนมาจากราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ให้ไว้แถว 3.60 บาท ขณะที่ราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ 3 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 2 % ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 80 ล้านบาทแบบนี้..มันมีแก๊ปให้เล่นสูงถึง 20% เลยนะจ๊ะ..นะจ๊ะ
โมนิก้า: และทีมงาน