เปิดโผ 5 ธุรกิจรุ่ง-ร่วง ปี 2568

การเติบโตของธุรกิจในปี 2568 ยังเสี่ยงถูกกดดันจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่อง


เส้นทางนักลงทุน

การเติบโตของธุรกิจในปี 2568 ยังเสี่ยงถูกกดดันจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่องกับสินค้านำเข้า สังคมสูงอายุกระทบการใช้จ่าย และสภาพอากาศแปรปรวน

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าในปี 2568 เจ้าของกิจการยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แม้ว่าอาจได้แรงหนุนบางส่วนจากมาตการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่ด้วยค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงระมัดระวัง หรือฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโต 2.4% ชะลอลงจากปี 2567 ที่จะโตราว 4.6%

ขณะที่ การแข่งขันรุนแรงต่อเนื่องกับสินค้านำเข้า โดยเฉพาะสินค้าจีนราคาถูก เช่น เหล็ก แฟชั่น ของใช้ส่วนตัว เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง เป็นต้น ซึ่งไทยมีมูลค่านำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนคิดเป็น 1 ใน 4 ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมด รวมถึงยังมีความเสี่ยงจากนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและประเทศต่าง ๆ ทำให้อาจเห็นการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนมากขึ้น

ขณะที่ ภาวะสังคมสูงอายุกดดันการใช้จ่าย โดยไทยจะเข้าสู่ Super-aged Society ในปี 2571 หรือมีจำนวนผู้สูงอายุราว 14 ล้านคน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด แต่ผู้สูงอายุกว่า 34% มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี สะท้อนถึงการใช้จ่ายที่จำกัด ขณะเดียวกันค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจะยิ่งกดดันค่าใช้จ่ายในภาพรวม จากการที่ผู้สูงอายุเสี่ยงเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases : NCDs) ซึ่งประเมินว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้สูงอายุจะอยู่ที่ราว 37% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ

นอกจากนี้ สภาพอากาศแปรปรวนที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบหรือสร้างความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคเกษตร รายได้ครัวเรือนและธุรกิจ รวมถึงสิ่งปลูกสร้าง/ที่อยู่อาศัย รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จนนำมาซึ่งการออกมาตรการต่าง ๆ ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM, พ.ร.บ.Climate Change ซึ่งส่งผลกระทบต่อเจ้าของกิจการ โดยเฉพาะที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศที่เข้มงวดด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สหภาพยุโรป ทำให้มีต้นทุนในการปรับตัวของธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และต้องใช้เวลากว่าที่จะได้ผลตอบแทนกลับมาจากการเปลี่ยนผ่านเพื่อตอบรับกับประเด็นนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มอง 3S เทรนด์ผู้บริโภค ที่ธุรกิจจะต้องเร่งปรับตัวตาม เพื่อเพิ่มยอดขาย ประกอบด้วย

1.Smart Spending ใช้จ่ายอย่างรู้ค่า/คุ้มค่าคุ้มราคา แม้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนหนึ่งจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่ความสามารถในการใช้จ่ายของครัวเรือนและธุรกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคยังคงวางแผนใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เลือกใช้จ่ายเฉพาะสินค้าที่จำเป็น หรือซื้อสินค้าที่คุ้มค่าคุ้มราคา และค่าใช้จ่ายไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่ปรับพฤติกรรมโดยการลดปริมาณการซื้อสินค้า/ใช้บริการลง เช่น ลดทานข้าวนอกบ้าน ลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย เป็นต้น

2.Self-healing ฮีลใจ/ทันกระแส/มี Story สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันกดดันให้คนไทยเกิดภาวะเครียดสะสม นำมาซึ่งความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลมากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต พบว่ามีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้น จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 แต่คนที่เสี่ยงมีปัญหาอาจสูงถึง 10 ล้านคน โดยเฉพาะในวัยเด็กและเยาวชน รวมถึงวัยทำงาน

3.Sustainability กระแสรักษ์โลก ตอบโจทย์ตลาดไทยและต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น ทำให้ทั่วโลกรวมถึงไทยตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สะท้อนได้จากการสำรวจพบว่าคนไทยกว่า 90% ได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ค่าไฟเพิ่มขึ้นจากอากาศที่ร้อนจัด ราคาสินค้าสูงขึ้นจากผลผลิตผันผวน มีปัญหาสุขภาพจาก PM 2.5 ดังนั้นธุรกิจที่ปรับตัวรับกับเทรนด์ดังกล่าว ก็น่าจะสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นจากทั้งตลาดไทยและต่างประเทศ

  • เปิดโผ 5 ธุรกิจรุ่ง ปี 2568

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในปี 2568 จะต้องสอดรับไปกับเทรนด์ผู้บริโภค โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการทำให้สินค้าหรือบริการมีความคุ้มค่าคุ้มราคา และมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวให้ทันกระแส รวมถึงตอบโจทย์เทรนด์ความยั่งยืน ได้แก่

1.อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมูลค่าตลาดขยายตัว 5-7% จากการใส่ใจดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ 2.ท่องเที่ยว/ฮีลใจ เช่นสัตว์เลี้ยง คอนเสิร์ต มูเตลู หมีเนย หมูเด้ง แนวโน้มตามกระแส Self-healling เช่น มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโต 10-15% ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น 3.การแพทย์และความงาม แม้กำลังซื้อของผู้บริโภคจะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพยังโต 4-6% ตามเทรนด์ใส่ใจสุขภาพและการรักสวยรักงาม

4.สินค้าและบริการเกี่ยวกับเด็ก มูลค่าตลาดขยายตัวราว 4% จากการที่พ่อแม่ยังคงใส่ใจและต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยให้กับเด็ก 5.ธุรกิจกรีน/ปล่อยคาร์บอนต่ำ 58% ของผู้บริโภคเต็มใจจะจ่ายสินค้า/บริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในจำนวนดังกล่าว 37% เต็มใจจะจ่ายเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% เมื่อเทียบกับราคาสินค้าปกติ

ขณะที่ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงในปี 2568 ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับสินค้ากึ่งคงทนและคงทนที่ถูกกดดันจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อีกทั้งยังต้องแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน รวมถึงธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนสูงก็มีความเสี่ยงที่ยอดขายลดลงจากเทรนด์ความยั่งยืนที่เติบโต

  • เปิดโผ 5 ธุรกิจร่วง ปี 2568

1.ผลิตสินค้าแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย อีกทั้งยังต้องแข่งกับสินค้านำเข้าทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ทำให้ธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทันเสี่ยงยอดขายหดตัว 2.อสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มหดตัวจากความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา ขณะที่จำนวนยูนิตสะสมที่รอการขายยังสูง

3.ดีลเลอร์รถยนต์สันดาป (ICE) การเปลี่ยนผ่านสู่ EV มากขึ้น กดดันยอดขายรถยนต์สันดาปให้มีแนวโน้มหดตัวลง นอกเหนือไปจากผลกระทบด้านกำลังซื้อ 4.ซื้อมาขายไป หรือ Trader ผู้ผลิตหันมาใช้ช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย (Omni-channel) ในการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง และ 5.ธุรกิจปล่อยคาร์บอนสูง

อย่างไรก็ดี รายได้และความสามารถในการทำกำไรของแต่ละผู้ประกอบการในธุรกิจรุ่ง-ร่วง อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเฉพาะ ซึ่งคงจะไม่ได้รุ่งหรือร่วงตามธุรกิจในภาพใหญ่ ขณะที่ตลาดในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนและแตกย่อยมากขึ้น ท่ามกลางปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาสินค้าและบริการ และพร้อมปรับตัวรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไวอยู่เสมอ

Back to top button