พาราสาวะถี
สร้างสถิติอีกแล้วสำหรับนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย แพทองธาร หลัง ป.ป.ช.ได้เปิดเผยรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าตัว
สร้างสถิติอีกแล้วสำหรับนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองของประเทศไทย แพทองธาร ชินวัตร หลัง ป.ป.ช.ได้เปิดเผยรายการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าตัวไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยการเป็นผู้นำประเทศที่รวยที่สุดแซงหน้า ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ โดยอุ๊งอิ๊งแจ้งว่ามีทรัพย์สินจำนวน 13,993,826,903 บาท ขณะที่ทักษิณได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เมื่อปี 2548 กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในรัฐบาลทักษิณ 2 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2548 ระบุมีทรัพย์สินรวม 12,571,720,820 บาท
ประเด็นรวยล้นฟ้าไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะที่มาที่ไปของทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลนั้นเห็นกันอยู่ สิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้คงหนีไม่พ้นพวกนักร้องที่จะไล่ตรวจสอบรายละเอียดทรัพย์สินของนายกฯ ทุกรายการ เผื่อเจอข้อบกพร่องผิดพลาดจะได้ยื่นร้องเอาผิดทันที งานนี้ จะเห็นได้ว่าแพทองธารได้มีการยื่นขอเลื่อนการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. หลังจากครบกำหนดก่อนหน้านี้ เพื่อตรวจสอบทุกอย่างให้รอบคอบ จึงไม่น่ามีช่องให้ถูกเล่นงานได้ เป็นที่รู้กันก่อนและระหว่างมานั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศ อุ๊งอิ๊งได้รับการดูแลประดุจไข่ในหิน
หลังกลับเข้าสู่โหมดการทำงานปกติแล้ว ฝ่ายบริหารคงเร่งสปีดสร้างผลงานอย่างเต็มที่ โดยฝ่ายนิติบัญญัติพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างประชาชนก็ประกาศโครม ๆ จองกฐินยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธารพร้อม ครม.แน่นอน ปมเลี่ยงตอบกระทู้สามารถโยนไปมาตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ แต่การจับมัดมือโดยการซักฟอก ยังไงก็หนีไม่พ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนเวลาที่ทำงานผ่านมาได้แค่ 3 เดือนเศษ จึงมีข้อคำถามว่า ฝ่ายค้านมีข้อมูลอะไรที่จะมาเล่นงานจนทำให้ประชาชนเชื่อได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่น่าไว้วางใจ
หากจะหยิบยกเอาเรื่องการไม่ทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาก็ยังเป็นนามธรรมเกินไป เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เห็นกันอยู่ว่ามีการเล่นเกมกันอย่างไร ส่วนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตที่ผ่านมาท่ามกลางเสียงทักท้วงรอบด้านตั้งแต่ยุค เศรษฐา ทวีสิน ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจต้องรัดกุม เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็ได้ขยับด้วยการแจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบางและคนพิการไปแล้ว กำลังจะตามมาด้วยกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และเฟส 3 ที่แม้ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มเมื่อไหร่ แต่รัฐบาลก็บอกว่าเดินหน้าต่อแน่ ที่สำคัญปมดิจิทัลวอลเล็ตไม่ตรงปก ศาลรัฐธรรมนูญก็เพิ่งตีตกคำร้องไปเมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ก่อนจะไปถึงตรงนั้น คงต้องติดตามดูการประชุมรัฐสภาที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14-15 มกราคมนี้ก่อน ซึ่งจะมีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ของ พริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โดยพรรคเพื่อไทยก็มีการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราดังกล่าวประกบ เพื่อให้มีการทำประชามติสองครั้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะนำเข้าสู่ที่ประชุม สส.ของพรรคในวันที่ 7 มกราคมนี้ หากเคาะผ่านก็จะยื่นต่อประธานสภาในวันรุ่งขึ้นทันที
ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า ร่างทั้งสองฉบับนั้นจะผ่านความเห็นชอบหรือไม่ ต้องลุ้นในส่วนของเสียงโหวต ที่จะตามมาหนีไม่พ้นการถูกร้อง เพราะมีฝ่ายที่มองว่าการยื่นขอแก้ไขดังกล่าวนั้นส่อขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วนของพรรคประชาชนที่จะไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 ว่าด้วยสถาบัน ซึ่งของเพื่อไทยไม่ได้มีการแก้ไขในกรณีนี้ อยู่ที่ว่านักร้องหากจะยื่นจะมีการชงในประเด็นใด ทางแกนนำเพื่อไทยอยากให้ถามศาลรัฐธรรมนูญว่าทำประชามติ 2 ครั้งได้หรือไม่
อีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณา น่าจะเห็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายคัดค้าน แม้พรรคประชาชนจะแอบดีใจว่าอย่างน้อยเพื่อไทยก็ร่วมในขบวนการแก้ไขด้วย ทว่าเป้าหมายนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในส่วนของพรรคแกนนำฝ่ายค้านต้องการให้การแก้ไขเกิดขึ้นจริง และประสบความสำเร็จ ส่วนพรรคแกนนำรัฐบาลถือเป็นการทำตามหน้าที่แก้ไขได้ถือว่าโชคดี ไม่ได้ก็ไม่เสียหาย อย่างน้อยก็ได้แสดงให้กองเชียร์ที่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเห็นว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว
ระหว่างที่รอดูการประชุมรัฐสภาในเรื่องดังว่า การเมืองสนามเล็กที่ถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองภาพใหญ่ไปแล้ว อย่างการเลือกตั้งนายก อบจ.ก็กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ผู้สมัครของพรรคประชาชนจะสามารถปักธงได้กี่จังหวัด หรือจะพ่ายแพ้ทุกสนาม ฟากเพื่อไทยก็จัดหนักจากที่ทักษิณช่วยเจิมทำให้คว้าชัยไปแล้วสองสนามที่อุดรธานีและอุบลราชธานี หนนี้แพทองธารก็จะสวมบทบาทหัวหน้าพรรคไปขึ้นเวทีปราศรัยด้วย
ประเดิมนครพนมเป็นจังหวัดแรก ระดมกันทั้งลูกและพ่อทิ้งช่วงกันไม่ถึงสัปดาห์ หลังจากนั้นต้องรอดูแพทองธารจะไปขึ้นเวทีจังหวัดอื่นอีกหรือไม่ ถึงจะไม่ต้องหนักใจเหมือน อนุทิน ชาญวีรกูล ที่มีหัวโขนความเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องวางตัวเป็นกลางทุกกรณี แต่นายกฯ หญิงก็ติดเรื่องเวลาทำงาน จะบาลานซ์งานราษฎร์งานหลวงได้อย่างไร ไปช่วยคนของพรรคถี่ก็จะถูกโจมตีว่าเบียดบังเวลาราชการ หรือเอาเปรียบคู่แข่ง ดีไม่ดีจะมีการเรียกร้องควรเอาเวลาไปดูแลแก้ไขปัญหาให้ประชาชนน่าจะดีกว่า
ไม่ว่าจะถูกกระทืบเท้าขู่จากฝ่ายค้านเรื่องซักฟอก หรือผลพวงจากการชิงชัยเก้าอี้นายก อบจ.ที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลต้องแข่งขันกันหลายพื้นที่ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการทำงานร่วมกันของเหล่าแกนนำในฐานะรัฐมนตรี ท่วงทำนองยังเป็นไปด้วยการถ้อยทีถ้อยอาศัย เพราะในวงหารือเบื้องหลังเห็นตรงกัน มีขบวนการที่จะเสี้ยมทำให้เกิดความกินแหนงแคลงใจ ใช้กลไกของสื่อเลือกข้าง พวกนักร้อง และนักเคลื่อนไหวขาประจำเปิดประเด็นนำร่อง หากเข้าทางก็จะขยายผลเปิดแผลหวังจุดกระแสให้ติด
เหมือนที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวล่าสุด ถูกกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าสื่อบางกลุ่มรุมกระหน่ำปั้นข่าวทุกรูปแบบ โจมตีหวังสั่นคลอนพรรค พอไม่ได้ผลก็เปลี่ยนเป้าเสี้ยมหวังให้ผิดใจกับนายกฯ แต่ขอโทษไม่มีทางสำเร็จ ไม่เพียงแต่เสี่ยตุ๋ยเท่านั้นที่รู้กัน แต่บรรดาแกนนำทุกพรรคที่นั่งในรัฐบาลมีข้อสรุปตรงกัน ใครจะปั้นข่าวอะไรไม่สนใจ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันสนใจแต่การทำงานและประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติเท่านั้น รับโจทย์กันมาแบบนี้ปัญหาทางการเมืองแค่วางเฉย หรือคุยกันให้เข้าใจ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
อรชุน