ฝรั่งยังขายสนุกมือ
วานนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดร่วงอีก 12.11 จุด ส่งผลดัชนีลงมาอยู่ที่ 1,372.65 จุด ส่วนมูลค่าการซื้อขายเพียง 37,2125 ล้านบาทเท่านั้น
วานนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดร่วงอีก 12.11 จุด
ส่งผลดัชนีลงมาอยู่ที่ 1,372.65 จุด
ส่วนมูลค่าการซื้อขายเพียง 37,212 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งที่เริ่มต้นสัปดาห์นี้ ทั้งนักลงทุนต่างประเทศ นักลงทุนสถาบัน และรายย่อยเริ่มกลับเข้ามาเทรดกันแล้ว
ทว่าวอลุ่มฯ กลับยังไม่กระเตื้องขึ้น
สังเกตกันไหมว่า หุ้นไทยหากมีปัจจัยลบเข้ามากดดัน ไม่ว่าปัจจัยนั้นจะหนัก หรือเบา
ตลาดหุ้นไทยพร้อมที่จะร่วงจากปัจจัยลบต่าง ๆ ได้แบบทุกโอกาส
อย่างสัปดาห์ก่อนที่มีประเด็นเกี่ยวกับ Global Minimum Tax ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนรับรู้กันมาตั้งแต่ปี 2567 แล้ว
แต่พอมีผลในช่วงต้นปี 2568 หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากภาษีดังกล่าว ร่วงหนักทันที พร้อมกับฉุดดัชนีหุ้นไทยลงมาอย่างหนัก เช่นเดียวกับหุ้นอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีผลอะไรด้วยกับภาษีประเภทนี้ ยังร่วงลงมาด้วย
ผ่านมาถึงสัปดาห์นี้ มีเรื่องการปรับค่าไฟเข้ามากดดันอีก
ส่งผลหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถูกขายแบบเทกระจาด แล้วไปดึงหุ้นอื่น ๆ ลงมา ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย
เข้าไปดูเส้นกราฟ SET นับจากช่วงกลางเดือนตุลาคม 2567 พบว่า สัญญาณเทคนิคดูไม่ดี “เป็นขาลงชัดเจน” ดัชนีฯ หลุดแนวรับลงมาต่อเนื่อง
ล่าสุด แนวรับใหม่คือ 1,370 จุด
ว่ากันว่า หากวันนี้หุ้นไทยปิดแล้วดัชนีฯ ย่อลงมาต่อ
อาจลงมาทดสอบจุดต่ำสุดล่าสุดอีกครั้งคือ 1,361 จุด (20 ธันวาคม 2567)
และหากลงมาที่ระดับดังกล่าวจริง ทำให้มองกันว่ามีโอกาสลงมาถึง 1,273 จุด ที่เป็นจุดต่ำสุด (ถัดจาก 1,361 จุด) อีกครั้ง
ย้อนกลับไปดูตัวเลขสำคัญของตลาดหุ้นไทยปี 2567 เช่น นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาอีก 1.47 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการขายต่อเนื่องจากปี 2566 จำนวน 1.92 แสนล้านบาท
รวมสองปีล่าสุด ต่างชาติกระหน่ำขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 3.4 แสนล้านบาท
เห็นตัวเลขขายของต่างชาติแบบนี้
ต่อไปมีกี่กองทุนวายุภักษ์ ก็ไม่น่าจะรับมือไหว หรือแม้กระทั่ง Thai ESG อาจจะต้อง “คุมเชิง” ก่อนจะเข้าลงทุน
ส่วนเมื่อวานนี้มีตัวเลขการสำรวจจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน หรือ IAA
โดยเป็นการสำรวจจากโบรกเกอร์มากกว่า 26 แห่ง พร้อมได้ตัวเลขเป้าหมายที่เป็นดัชนีสิ้นปี 2568 ที่ระดับ 1,556 จุด โดยตัวเลขที่ว่านี้ จะมีการสำรวจอยู่เรื่อย ๆ ตามรอบเวลาของ IAA จึงมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไปตามปัจจัยที่เกิดขึ้นทั้งใน และต่างประเทศ
กลุ่มหุ้นที่มีการให้เลี่ยงการลงทุน คือ กลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี
พร้อมแนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุนด้วย
คือ แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.72%, กองทุนตราสารหนี้ 22.00%, หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 29.56%, หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.52%, กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 6.90%, ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.10% และสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น Bitcoin 0.20%
ปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2568
แบ่งเป็นปัจจัยบวก นำโดยทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ รองลงมา คือผลประกอบการบจ.ปี 2568 ตามมาด้วยเศรษฐกิจภายในประเทศ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา
ปัจจัยลบ คือ ฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศออกจากตลาดหุ้นไทย
ธนะชัย ณ นคร