พาราสาวะถี

การเมืองนับตั้งแต่เกิดขบวนการเพื่อล้ม ทักษิณ เรื่อยมากระทั่งเข้าสู่ยุครัฐบาล แพทองธาร เกือบสองทศวรรษ ถามว่าเข้าสู่ภาวะปกติแล้วหรือไม่


การเมืองนับตั้งแต่เกิดขบวนการเพื่อล้ม ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมากระทั่งเข้าสู่ยุครัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร เกือบสองทศวรรษ ถามว่าเข้าสู่ภาวะปกติแล้วหรือไม่ หลังถูกสถานการณ์สร้างความขัดแย้งจนกลายเป็นการแช่แข็งประเทศไทย บอกได้เลยว่า ตราบใดที่กฎหมายสูงสุดยังเป็นกลไกที่ถูกวางไว้โดยขบวนการอยู่ยาว การเมืองยังคงเป็นการเดินไปบนเส้นทางที่ไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของรัฐบาลหรือการขยับขับเคลื่อนของพรรคการเมืองก็ตาม

เห็นได้ชัดนับตั้งแต่รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน มาถึงรัฐนาวาอุ๊งอิ๊ง สิ่งที่ถูกฝ่ายตรงข้ามหยิบยกไปใช้กลไกนิติสงครามเล่นงานคือ ข้อกล่าวหาทั้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยถูกครอบงำจากทักษิณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนายใหญ่ยังคงเป็นตุ๊กตาที่ถูกนำมาหลอกหลอนให้พวกที่จงเกลียดจงชัง หรือเสพข้อมูลโดยไม่ใช้สมองไตร่ตรองเชื่อกันไว้ก่อน ทั้งที่ความจริงในยุคเผด็จการครองเมืองภาพที่รับรู้กันคือ ทั้งพรรคการเมืองและฝ่ายนิติบัญญัติถูกครอบงำโดยเผด็จการสืบทอดอำนาจทุกอณู

ทั้งองค์กรตรวจสอบ เอาผิด และบรรดากูรู ผู้รู้ หรือไม่รู้แต่ทำเป็นอวดเก่งทั้งหลาย ต่างพากันเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ใยดีแยแสต่อการกระทำที่อัปยศอดสูเหล่านั้น ความน่าสมเพชที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถามของสังคมมาจนถึงทุกวันนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน ขนาดว่าศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้มีการเปิดเผยข้อมูลต่อคนที่ไปร้องแล้ว ยังเพิกเฉย กล้าที่จะไม่ปฏิบัติตาม ทั้งที่ความจริง หากทำทุกอย่างโปร่งใส ไม่ต้องรอให้มีใครมาตรวจสอบ ก็สามารถที่จะเปิดเผยให้สังคมหายเคลือบแคลงกันได้ทันที

นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่คนจำนวนไม่น้อยยังไม่ค่อยมั่นใจว่ารัฐบาลแพทองธารจะอยู่รอดปลอดภัย เพราะกับดักจากเผด็จการสืบทอดอำนาจยังอยู่ เพียงแต่อำนาจที่จะสั่งการเพื่อให้กลไกที่วางไว้เป็นไปตามความประสงค์ไม่เหมือนเดิมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทักษิณมีความเชื่อเต็มร้อยว่า ยังไงลูกสาวพร้อมคณะรัฐมนตรีอยู่ครบเทอมแน่ ซึ่งประเด็นนี้บรรดาแกนนำในพรรคเพื่อไทยก็ถูกฝังความเชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน

ฤทธิ์เดชของนิติสงครามที่เคยใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามของเผด็จการ คสช.และเผด็จการสืบทอดอำนาจก่อนหน้านี้ จึงถูกบีบให้แคบเหลือเพียงแค่ไว้ใช้จัดการพรรคการเมืองสุดโต่งที่เป็นภัยสำคัญต่อความมั่นคงของฝ่ายอนุรักษนิยมเท่านั้น โดยพรรคที่เป็นเป้าหมายหลักอย่างเพื่อไทย หลังตั้งรัฐบาลพลิกขั้วเหมือนได้ยาดีมีเกราะป้องกันที่จะไม่ถูกจัดการง่าย ๆ เหมือนกับที่ถูกตั้งธงยุบ และจับบรรดากรรมการบริหารพรรคเว้นวรรคทางการเมืองเป็นว่าเล่นเหมือนก่อนหน้านั้น

ดังนั้น ความเคลื่อนไหวในมิติทางการเมืองว่าด้วยการขึ้นเวทีปราศรัยถี่ยิบของทักษิณในช่วงนี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าสารที่สื่อออกไปนั้นจะหนักหน่วง ท้าทายฝ่ายโจมตีมากขึ้นด้วยนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผลพวงจากดีลพิเศษอันมีโจทย์ภาคบังคับที่พรรคการเมืองนอกเหนือจากพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถทำได้ ส่วนสำคัญคือพลังวิเศษ ที่เป็นผ้ายันต์ชั้นยอดทำให้พรรคแกนนำรัฐบาลมั่นใจว่าหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน ไม่ถูกฟันถูกยุบง่ายดายเหมือนอดีตที่ผ่านมา

ส่วนประเด็นที่ว่าการไปขึ้นเวทีปราศรัยบ่อยครั้งของทักษิณ จะเกิดภาวะลืมตัวแสดงออกให้เห็นถึงความเป็นผู้มีอำนาจสั่งการทั้งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ในการเปิดนโยบาย หรือชี้นำให้รัฐบาลต้องทำเรื่องโน้นเรื่องนี้หรือไม่ เหมือนที่กำลังถูก สว.บางรายหรือพวกขาประจำเริ่มตั้งคำถามว่า ที่ประกาศจะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง หรือไปบอกว่าจะไม่มีการปรับ ครม.นั้น ใช้ฐานะอะไรไปสั่งการให้ทำเช่นนั้น หรือตัดสินใจแทนผู้ที่เป็นนายกฯ ได้

อย่างแรกไม่ว่าจะเรื่องค่าไฟฟ้า หรือราคาน้ำมัน ฐานะคนที่เคยเป็นนายกฯ ย่อมสามารถแสดงความคิดเห็น และด้วยความเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบรรดาผู้นำประเทศ หรือภาคธุรกิจในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกผู้ค้าน้ำมัน ย่อมรู้ดีว่ากลไกของการที่จะทำให้ราคาถูกลงนั้นเป็นอย่างไร ถ้าไม่มองไปถึงตรงนั้น ก็เอาแค่ที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ถึง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผู้กุมบังเหียนกระทรวงพลังงาน บอกไว้ชัด มีการพบปะหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่เสมอ

นั่นหมายความว่า ไม่เพียงแต่จะชี้แนะแนวทาง นำเสนอนโยบายผ่านลูกสาวที่เป็นผู้นำประเทศ หรือวงสนทนาของระดับนำในพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่มีการตั้งวงถกคุยกับบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเป็นประจำ เพื่อให้ผลงานที่จะผลิตออกมานั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เว้นไว้เฉพาะเรื่องที่เป็นความเห็นทางการเมือง ประเด็นการเสนอข้อกฎหมายที่ใช้กลไกของสภาฯ จะปล่อยให้แต่ละพรรคมีพื้นที่ในการแสดงจุดยืน เพราะทุกพรรคต่างก็มีกองหนุนที่ชื่นชอบในแนวทางแตกต่างกันไป

สำหรับการปรับ ครม. ถ้าหยิบเอามุมที่ว่าแพทองธารจะไม่ปรับ แล้วทักษิณใช้ฐานะอะไรไปพูดชี้นำเช่นนั้น เพราะบทสัมภาษณ์บอกชัดว่า คุยกันกับอุ๊งอิ๊ง ลูกสาวบอกว่ายังสบายใจในการทำงานกับคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ไม่ต้องแปลความให้ยุ่งยากที่พูดในฐานะ “พ่อ” และน่าจะเป็นภาพสะท้อนของความอบอุ่นในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดพ่อลูกย่อมสามารถที่จะปรึกษาหารือกันได้ ยิ่งเป็นอดีตนายกฯ ที่เคยได้รับความนิยมสูงสุดมาแล้ว ประสบการณ์ในอดีตยิ่งเป็นประโยชน์มหาศาล

ถ้าเทียบกับสิ่งที่ทักษิณพูดบนเวทียิ่งเป็นการตอกย้ำการปกป้องลูกสาวไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมือง โดยการชี้ให้เห็นพฤติกรรมของพวกด่านายกฯ ถ้าเปรียบเป็นผู้หญิงก็คือผัวไม่รัก ถ้าเป็นผู้ชายก็คือเมียไม่รัก เครียด เลยเอามาลงกับตนและนายกฯ “วัน ๆ เอาแต่เห่า” พร้อมย้ำเรื่องการเอาคืนพวกนักร้องด้วยว่า พอแก่แล้วขี้รำคาญจึงให้ทนายช่วยกันถ้าที่ไหนฟ้องได้ก็ช่วยกันฟ้อง จะได้รู้จักรับผิดชอบต่อส่วนรวม เปิดหน้าท้าชนแบบนี้ไม่ใช่กระทืบเท้าขู่แต่เอาจริง พวกที่เคยปะฉะดะกันมาในอดีตต่างรู้ดีว่ากลับมาหนนี้ ประเภทสร้างเรื่องกล่าวหาแล้วล้มรัฐบาล เหยียบชินวัตรให้จมดินไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม

อรชุน

Back to top button