Nvidia ยึดเจ้าตลาดชิป AI โลก
ปี 2567 ที่ผ่านมา เอนวิเดีย (Nvidia) ถือว่าทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ทั้งรายได้และราคาหุ้น ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก
ปี 2567 ที่ผ่านมา เอนวิเดีย (Nvidia) ถือว่าทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ทั้งรายได้และราคาหุ้น ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้บรรดานักลงทุนหุ้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับผลตอบแทนอย่างงดงามจากกระแส Generative AI หรือ เอไออัจฉริยะ
เท่านั้นยังไม่พอ “เอนวิเดีย” มีการสลับตำแหน่งกับแอปเปิล (Apple) หลายต่อหลายครั้งในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก โดยมีมูลค่าเกินกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทำให้ Jensen Huang ซีอีโอเอนวิเดีย (Nvidia) กลายเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่เป็นที่ต้องการตัวมากสุดใน Silicon Valley โดยมีการพบปะกับทุกคน ตั้งแต่ผู้มีชื่อเสียงและผลงานโดดเด่นของแวดวงการเทคโนโลยี จนถึงผู้นำระดับโลกและบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ อีกมากมาย
พร้อมทั้งอีกหลายสิ่งที่จะเกิดขึ้น บริษัทกำลังเร่งการผลิตชิปแบล็คเวล (Blackwell) มีประสิทธิภาพสูงสำหรับแอปพลิเคชัน AI และคาดว่าจะส่งมอบฮาร์ดแวร์ดังกล่าว มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 4/67 เพียงไตรมาสเดียว และคาดว่าจะส่งมอบได้มากขึ้นตลอดทั้งปีนี้อีกด้วย
Daniel Newman ซีอีโอบริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยี Futurum Group ระบุว่า Nvidia มีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับยุคการประมวลผลด้วย AI จริง ๆ ทุกอย่างเชื่อมต่อกันทั้งภายในแร็คหรือเซิร์ฟเวอร์และนอกแร็คและซอฟต์แวร์ ยังได้ รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชุมชนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วย
ทว่าคู่แข่งสำคัญอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ โดยบริษัทอย่างเอเอ็มดี (AMD) กำลังพยายามแย่งชิงลูกค้าของ Nvidia และแย่งส่วนแบ่งการตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 80-90% แม้แต่ลูกค้า Nvidia เอง ได้กำลังพัฒนาชิปที่ออกแบบมาเพื่อลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์ของยักษ์ใหญ่ด้านกราฟิกอย่าง Nvidia และวอลล์สตรีทกำลังเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
ด้านราคาหุ้น Nvidia ปิดตลาด 31 ธ.ค. 67 ลดลง 2.33% ส่วนหุ้นบรอดคอม (Broadcom) ทำงานร่วมกับบริษัทต่าง ๆ เช่น กูเกิล (Google) เพื่อออกแบบชิป AI โดยราคาเพิ่มขึ้นถึง 113% ช่วงปี 2567 และพุ่งขึ้น 44% แค่เพียงเดือนพ.ย. 67 ที่ผ่านมา หลังจากซีอีโอฮ็อค แทน (Hock Tan) ระบุว่า AI อาจเป็นโอกาสที่มีมูลค่า 60,000-90,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับบริษัทในปี 2570 เพียงปีเดียว
อย่างไรก็ตามการเอาชนะ Nvidia ได้ ถือเป็นงานที่ยากสำหรับทุกบริษัท และการโค่นบัลลังก์แชมป์ด้านชิป AI ของ Nvidia อย่างเร็วที่สุดคือปี 2568 แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
โดยผู้ครองตลาดอย่าง Nvidia มีข้อได้เปรียบของผู้บุกเบิกในตลาด AI จากการลงทุนช่วงแรกของซอฟต์แวร์ AI สามารถปลดล็อกให้ชิปกราฟิกทั้งหลายของบริษัท สามารถใช้งานเป็นโปรเซสเซอร์หรือตัวประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงได้ และ Nvidia สามารถรักษาความเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์ชิปดังกล่าวไว้ได้ จากความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในฮาร์ดแวร์บริษัท รวมถึงซอฟต์แวร์คูดา (Cuda) ที่ช่วยให้นักพัฒนาทั้งหลายสามารถสร้างแอปพลิเคชันสำหรับชิปของพวกเขาเองได้
จากกรณีนี้เองผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า ไฮเปอร์สเกเลอร์ส (Hyperscaler) รวมถึงไมโครซอฟท์ (Microsoft), Google ของอัลฟาเบท (Alphabet), แอมะซอน (Amazon), เมตา (Meta) และผู้ให้บริการรายอื่น ๆ จึงยังคงทุ่มเงินลงทุนเพื่อซื้อชิป Nvidia ให้ได้มากที่สุด
ไตรมาส 3/67 Nvidia รายงานรายได้รวมอยู่ที่ 35,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 30,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 87% นั้น มาจากธุรกิจศูนย์ข้อมูล (data center)
Bob O’Donnell ประธานและหัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัทวิจัย TECHnalysis Research ระบุว่า ทุกคนต่างต้องการสร้างและฝึกฝนโมเดลขนาดใหญ่มากเหล่านี้ และวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำคือใช้ซอฟต์แวร์ CUDA และฮาร์ดแวร์ของ Nvidia และเชื่อว่า Nvidia ยังขับเคลื่อนอุตสาหกรรม AI เป็นหลักตลอดปี 2568