พาราสาวะถี
โทนทางการหาเสียงไม่ได้ต่างไปจากผู้เป็นพ่อ ในกรณีถูกนักร้องทั้งหลายคอยจับผิด การไปขึ้นเวทีช่วยผู้สมัครนายก อบจ.นครพนมของพรรคเพื่อไทย
โทนทางการหาเสียงไม่ได้ต่างไปจากผู้เป็นพ่อ ในกรณีถูกนักร้องทั้งหลายคอยจับผิด การไปขึ้นเวทีช่วยผู้สมัครนายก อบจ.นครพนมของพรรคเพื่อไทยหาเสียงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แพทองธาร ชินวัตร ย้ำว่า “วันนี้มาถึงพูดอะไรได้ไม่มาก โดนมองจับผิดว่าจะผิดกฎข้อนั้นข้อนี้ ตอนนี้นักร้องเสียงดีเยอะเหลือเกิน” เข้าใจกลเกมความเป็นไปของฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี อยู่ที่ว่าจะจัดการรับมืออย่างไร โดย ทักษิณ ชินวัตร นอกจากขู่แล้วยังเดินหน้าฟ้องเอาผิดด้วย
เป็นธรรมดาของคนอยู่ในกระแส และยังมีพวกขาประจำตามจองล้างจองผลาญไม่หยุดหย่อน ย่อมตกเป็นเป้าไม่ว่าจะขยับเรื่องไหน ทำอะไร จะถูกหาเหลี่ยมมุมในการเอาผิดให้ได้ ขณะเดียวกัน อาจเป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งว่า แม้จะมั่นใจนิติสงครามเล่นงานได้ยาก แต่เพื่อความไม่ประมาทนายใหญ่พร้อมทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย จึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ เลี่ยงพูดถึงสิ่งที่เป็นนโยบาย หันไปขายความเป็นทักษิณคิด ไม่ต้องพูดถึงว่ารัฐบาลจะทำหรือไม่
ในเมื่อรู้กันอยู่แล้ว ความเป็นพ่อของนายกฯ หากรัฐบาลจะหยิบยกเอาเรื่องไหนที่นายใหญ่ขายฝันไปทำ ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจจะไปดำเนินการ ส่วนที่ทาง กกต.ออกมาขู่เลือกตั้งท้องถิ่นแต่พูดถึงนโยบายรัฐบาลใหญ่ ก้ำกึ่งผิดกฎหมายนั้น มันก็เป็นมุมมอง บางอย่างจำเป็นต้องแอ็กชันเพื่อทำให้เห็นไม่ได้ใส่เกียร์ว่าง ทว่าตามกระบวนการกว่าจะมีข้อสรุปแต่ละประเด็นใช้เวลานานจนคนที่ติดตามลืมกันไปแล้ว เว้นเสียแต่เรื่องร้องที่เป็นของพรรคการเมืองสุดโต่ง
เห็นได้ชัดว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับพรรคแกนนำรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล มีการให้ข่าวเหมือนจะคืบหน้าแต่ว่าอยู่ในขั้นตอนของการทำงาน รวบรวมพยานหลักฐาน สืบสวนสอบสวนเพื่อนำไปสู่การวิจิฉัย ซึ่งกระบวนการดังว่านั้น ยังไม่ได้อยู่ในชั้นการพิจารณาของ 7 เสือ กกต. ยังอยู่ในดุลยพินิจของเลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง นั่นหมายความว่า อีกหลายขั้นตอนกว่าจะมีข้อยุติ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีการให้สัมภาษณ์อย่างไร มองได้ว่าเป็นเพียงเชิงหลักการ ถึงเวลาต้องตัดสินจริงอาจไม่ได้เป็นไปตามที่บอกก็ได้
อย่างไรก็ตาม การระมัดระวังถึงขนาดที่ สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยบอกว่า อาจมีการปรับวิธีหาเสียงเลือกนายก อบจ.เพื่อไม่ให้สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายนั้น เอาเข้าจริง คงไม่มีใครที่จะกล้าไปคัดง้างนายใหญ่ได้ การอยู่ในภาวะมั่นใจด้วยพลังวิเศษที่สนับสนุน จึงทำให้บางครั้งดูเหมือนจะแสดงอาการล้ำเส้น จนทำให้ทีมงานเบื้องหลังต้องคอยสะกิด เพราะเกรงว่าจะเดินซ้ำรอยในอดีต ยิ่งประเด็นพาดพิงถึงพรรคร่วมรัฐบาล ถึงขนาดประกาศไล่กัน มันได้แค่ความสะใจ แต่ลูกสาวในฐานะหัวขบวนรัฐนาวา หนักใจที่สุด
นั่นจึงเป็นที่มาของการให้สัมภาษณ์นักข่าวของอุ๊งอิ๊งถึงสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน บางอย่างทักษิณพูดไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องทำตาม แตะเบรกกันแบบนิ่ม ๆ เพื่อตัดภาพการถูกครอบงำจากพ่อนายกฯ ส่วนสัมพันธภาพกับบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลนั้นไม่ได้มีปัญหา เพราะการหารือกันมีทั้งภายในรัฐบาลด้วยกันเอง และหลังฉากที่นายใหญ่นั่งหัวโต๊ะถกกันอยู่เป็นประจำ ทั้งประเภทเจอหน้ากันพร้อมเพรียงทุกพรรค กับแยกวงหารือ ขึ้นอยู่กับประเด็นที่จะคุยว่าเป็นเรื่องไหน
มิตรสหายทางการเมืองภายใต้รัฐบาลพลิกขั้ว ถามว่าแนบแน่น สนิทชิดเชื้อกันหรือไม่ คำตอบคือไม่ถึงขนาดนั้น แต่ด้วยความจำเป็นทำให้แยกจากกันไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาคือ แลกเปลี่ยนกันว่าแต่ละพรรคมีสิ่งไหนที่เป็นนโยบายชูโรงต้องทำให้ได้ มิเช่นนั้น จะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน แล้วมาเรียงลำดับ จัดความสำคัญว่า ควรจะผลักดันเรื่องไหนก่อนหลัง พอมาถึงตรงนี้ในฐานะคนที่เคยบริหารบ้านเมืองสำเร็จมาแล้ว ย่อมมีแนวคิด และข้อเสนอที่ทำให้พรรคร่วมส่วนใหญ่ปฏิเสธได้ยาก
ย้ำอีกครั้งว่า เป็นเรื่องนโยบายรัฐบาลที่ต้องทำจะไม่นำไปสู่ปมความขัดแย้งจนหาข้อยุติไม่ได้ เว้นเสียแต่ประเด็นที่คาบเกี่ยวกับอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ จะมีการปล่อยให้แต่ละพรรคไปสื่อสารกันเอง แล้วยึดเอามติของพรรคนั้นเป็นสำคัญ ไม่จำเป็นต้องยึดโยงกับมติของ ครม. มิเช่นนั้น มันจะกลายเป็นนำสารพัดปัญหามาสุมรวมกันไปทั้งหมด จนท้ายที่สุดปรากฏว่าไม่สามารถแก้ไขเรื่องใดได้แม้แต่น้อย แต่การวางตัวคนที่ไปทำหน้าที่เชื่อมประสานระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายนิติบัญญัตินั้น ต้องถือว่าใจถึงพึ่งได้
หลายอย่างต้องใช้กระบวนการตัดสินใจที่อาศัยผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นตัวเจรจา ผู้ประสานงานวิปที่เป็นตัวแทน ครม. ก็จะใช้วิธีการรับข้อมูลความต้องการของฝ่ายต่อรอง เพื่อนำกลับไปหารือกับผู้ที่มีอำนาจ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะได้รับการตอบสนอง ทำให้การเสนอกฎหมายหลายเรื่องของรัฐบาลไม่ติดปัญหา มิหนำซ้ำ บางครั้งยังได้รับการสนับสนุนที่ดีจากซีกฝ่ายค้านอีกต่างหาก ไม่ใช่แค่แนวทาง ความเห็นตรงกัน นั่นเป็นแค่การพูดในเชิงหลักการเพื่อสร้างภาพเท่านั้น
ฟัง “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ประกาศวางเคพีไอ เป็นตัวชี้วัดการทำงานของ ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง 14 จังหวัดที่มีชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน ในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด ไม่ได้น่าตกอกตกใจอะไร เพราะ 27 มกราคมนี้ แพทองธารเตรียมที่จะมอบเป็นนโยบายการซีลชายแดน 2 ชั้น หรือสร้างกำแพง 2 ชั้น ให้กับทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ประกอบด้วย 14 ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ 51 อำเภอ 76 ผู้กำกับสถานีตำรวจ ผู้การจังหวัด 14 จังหวัด รวมถึง แม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 2 แม่ทัพภาคที่ 3 และแม่ทัพภาคที่ 4 รวมทั้งหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งหมด
ประเมินผลงานทุก 6 เดือน จังหวัดใด อำเภอใด ไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เช่น ปัญหาไม่ลดลง ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ต้องถูกย้ายออกนอกพื้นที่ แต่หากผลงานเด่นชัด เป็นรูปธรรม รัฐบาลเตรียมที่จะตบรางวัลให้ ตามที่ภูมิธรรมว่าเคพีไอที่วางไว้ จะมีผลต่อตำแหน่งและการโยกย้าย เรียกได้ว่า หากจะสั่งเป็นนโยบายอย่างเดียว การตอบสนองก็จะเป็นไปตามระบบราชการ ทำเท่าที่ได้ พอมีเคพีไอเป็นตัวชี้วัด ก็จะเกิดภาพการทำงานที่ขึงขัง หวังผลได้
อรชุน