ลุยหุ้นอีกยก
สิ่งที่ “โมนิก้า” รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากก็คือ แรงซื้อเริ่มมีเข้ามามากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากดัชนีพยายามยกตัวสูงขึ้น
สิ่งที่ “โมนิก้า” รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากก็คือ แรงซื้อเริ่มมีเข้ามามากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากดัชนีพยายามยกตัวสูงขึ้น และพยายามยืนเหนือแนวรับสำคัญทางจิตวิทยา 1,350 จุด โดยหุ้นแกนหลักของตลาดหุ้นไทยพากันขยับก้นขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นภาพที่ทำให้อีฉันเชื่อว่า สถานการณ์ต่อจากนี้จะดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะไม่น่าจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยอีกแล้ว (หวังในใจเช่นนั้น) เจ้าค่ะ
ที่น่าสนใจคือ การที่หุ้นน้องใหม่ PIS สามารถยืนเหนือจองได้อีกวัน และไม่มีไม้ใหญ่ขายออกมาเลย น่าจะเป็นการยืนยันในเบื้องต้นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่รับรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสูงกว่านี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องสาดหุ้นทิ้งเหมือนไอพีโอก่อนหน้า และเรื่องนี้ก็ย้อนกลับมาที่พื้นฐานของหุ้นเป็นหลักแบบนี้ เดี๊ยนถึงอยากให้นักเล่นมองไปยังหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐานไงล่ะคะ
เนื่องจากการเทคตัวของตลาดหุ้นไทยขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,352.53 จุด บวกไป 12.03 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.80 หมื่นล้านบาท ท่ามกลาง PE 18 เท่า น่าจะเป็นบรรทัดฐานให้กับหุ้นที่มีพีอีต่ำได้ผงกหัวขึ้นเสียที และเรื่องดังกล่าวก็เชื่อมโยงตรงกับเงินปันผลที่บริษัทต่าง ๆ จะทยอยประกาศแบบนี้ “โมนิก้า” ย่อมเชียร์ให้แฟนคลับลุยหุ้นอีกยกอย่างแน่นอน เพราะของมันเห็นกันทนโท่ว่า ยังมีแก๊ปให้วิ่งอีกเยอะพะย่ะค่ะ
โดยเฉพาะในรายของ SCB ถือเป็นตัวทีเด็ดที่อีฉันชอบเม้าท์ถึงบ่อย ๆ และเหตุผลประการแรกที่ต้องพูดก็คือ หุ้นเทรดบน PE 9.50 เท่า ซึ่งมองจากมุมไหน ด้านไหน ก็มีแต่หุ้นแบงก์ของไทยที่เทรดในระดับที่ต่ำเรี่ยดิน และเมื่อนำมาผนวกกับอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนที่อยู่ในระดับ 6% ขึ้น ก็เป็นจังหวะที่เหมาะต่อการซื้อลงทุน อีฉันถึงอยากให้นักเล่นประเมินการยืนปิดที่ระดับ 122.50 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 0.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.32 พันล้านบาท น่าสนใจจริงป่าว?
เช่นเดียวกับในรายของ TIDLOR ก็เป็นหุ้นที่น่าสนใจเช่นเดียวกับรายข้างต้น เพราะเมื่อเหลือบดูจากการเทรดบน PE 11 เท่า และหุ้นเริ่มอยู่ในไซเคิลเด้งกลับอีกครั้ง “โมนิก้า” ก็ไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 16.50 บาท บวกไป 1.10 บาท หรือขึ้นไป 7.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 330 ล้านบาท เพราะของมันเห็นกันมานานแล้วว่า ความสามารถในการทำกำไรยังดีสม่ำเสมอนะตัวเอง
คล้ายกับสถานการณ์ของน้องมิ้น MINT ก็ลงมาลึกเหลือเกิน แถมการดีดกลับในแต่ละครั้ง มักถูกขายออกมาเป็นระลอก ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง เพราะวันนี้นักเล่นยังกังวลอยู่ว่า กำไรจะมาตามนัดไหม? และในปี 68 จะทำผลงานได้โดดเด่นขนาดไหน? เดี๊ยนถึงอยากให้นักเล่นมองราคาเป้าที่ระดับ 37 บาท เทียบกับการยืนปิดที่ระดับ 24.30 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 2.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 930 ล้านบาท เสี่ยงสูงไหมจ๊ะ
เมาท์ถึงเรื่องความเสี่ยงขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น PR9 เป็นรายถัดมา เพราะแรงขายที่ออกมาตลอดทั้งวัน จนหุ้นลงมาปิดที่ระดับ 23.90 บาท ลบไป 1.35 บาท หรือลงไป 5.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 602 ล้านบาท น่าจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นหุ้นจะไหลลงมาเรื่อย ๆ ได้อย่างไร? และเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่อีฉันยังขบคิดไม่แตกเสียที! เพราะในหัวมีแค่กำไรไม่มาจริงน่ะซี
ส่วนรายที่มีสารพันปัญหาถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด จนราคาหุ้นทิ้งตัวลงมาเดือนครึ่ง พร้อมกับทำนิวโลว์ให้เห็นเป็นช่วง ๆ อย่างหุ้น GPSC ก็มีเรื่องให้ต้องคิดเหมือนกันว่า การขึ้นมาปิดที่ระดับ 33 บาท บวกไป 2.50 บาท หรือขึ้นไป 8.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 455 ล้านบาท ถือเป็นการเริ่มต้นการขึ้นรอบใหม่ หลังจากราคาหุ้นซึมซับรับข่าวร้ายหมดแล้วใช่ไหม?..ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หุ้นก็ควรขึ้นไปอยู่เท่ากับบุ๊ก 37 บาทใช่ไหม?..คุณ ๆ ท่าน ๆ คิดว่า จริงไหมล่ะ
ไหน ๆ ก็เมาท์ถึงหุ้นใหญ่ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น LH เพื่อชี้ให้เห็นการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 4.90 บาท บวกไป 0.12 บาท หรือขึ้นไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 149 ล้านบาท ทั้งที่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แถมกำไรในช่วง 3 ปีก็ลดลงต่อเนื่องแบบนี้ เดี๊ยนมองได้ 2 เรื่องคือ หุ้นลงมาลึกเกินไปจึงได้เวลาดีดกลับ ส่วนอีกเรื่องคือ อัตราเงินปันผลตอบแทนในช่วงธุรกิจแย่ ๆ อยู่ที่ระดับ 7-8% นะตัวเอง
โมนิก้า: และทีมงาน