พาราสาวะถี

วันนี้ (23 มกราคม) ถือเป็นวันประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งของประเทศ เนื่องจากทุกคนไม่ว่าเพศใด จะสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาค


วันนี้ (23 มกราคม) ถือเป็นวันประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งของประเทศ เนื่องจากทุกคนไม่ว่าเพศใด จะสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างเท่าเทียมและเสมอภาค ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567 หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีภาคภูมิใจ เพราะสามารถร่วมผลักดันให้บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQIAN+ สามารถจดทะเบียนสมรสกันได้

ถือเป็นความก้าวหน้าทางกฎหมายอีกเรื่องหนึ่ง จะว่าไปแล้วแม้กฎหมายฉบับนี้จะมาผ่านเอาในยุคเศรษฐาเป็นนายกฯ แต่ทั้งหมดผ่านการขับเคลื่อนผลักดันมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ทำให้ประเทศไทยเป็นชาติแรกในอาเซียนที่มีกฎหมายลักษณะนี้ เป็นประเทศที่ 3 ในเอเชียต่อจากไต้หวัน และเนปาล ขณะที่ทั่วโลกมีประเทศที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพียงแค่ 41 ประเทศ ไทยเป็นประเทศที่ 38 และมีอีก 3 ประเทศที่บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวต่อจากเราคือ อารูบา, คูราเซา และลิกเตนสไตน์  

ดังนั้น วันนี้อย่าได้แปลกใจหากหลายพื้นที่จะเต็มไปด้วยการประดับประดาด้วยสัญลักษณ์สีรุ้ง เพราะทั้งภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง จัดเตรียมสถานที่ไว้รองรับการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเขต 50 เขตของกทม. ที่ว่าการอำเภอ 878 แห่งทั่วประเทศ รวมไปถึงสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลไทยในต่างประเทศอีก 94 แห่ง แม้ว่าจะมีคำถามต่อกฎหมายที่ล้าสมัยหลายฉบับ แต่อย่างน้อยกฎหมายฉบับนี้ก็ทำให้ประเทศไทยถูกมอง และยกย่องว่า ให้ความเคารพและยอมรับต่อความหลากหลายทางเพศ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ไทยแลนด์กำลังจะกลายเป็นแดนศิวิไลซ์ของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ปรากฏว่าที่สหรัฐอเมริกา หลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ มีการลงนามใน 10 คำสั่งที่สื่อพากันเรียกขานว่า คำสั่งเขย่าโลก หนึ่งในนั้นคือ ยกเลิกรับ LGBTQ+ ในหน่วยงานรัฐบาลกลาง ให้รับคนทำงานตามเพศสภาพแรกเกิด ทั้งที่ก่อนหน้ายุค โจ ไบเดน คลอดโครงการความหลากหลายทางเพศในหน่วยงานของรัฐบาลกลาง

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับการขยับขับเคลื่อนของทรัมป์ในลักษณะนี้ รวมไปถึงคำสั่งที่ให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO โดยให้เหตุผลว่า WHO รับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และวิกฤตด้านการแพทย์ระหว่างประเทศอื่น ๆ ผิดพลาด ล้มเหลวในการดำเนินการอย่างอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสมของประเทศสมาชิก ปมที่ประธานาธิบดีผู้สุดโต่งชูต่อการถอนตัวครั้งนี้คือ จำนวนเงินที่สหรัฐฯ จ่ายให้ WHO มากกว่าประเทศใหญ่อื่น ๆ เช่น จีน จึงทำให้เกิดวลีทองที่ว่า WHO ขูดเลือดขูดเนื้อเรา ทุกคนขูดเลือดขูดเนื้อสหรัฐอเมริกา มันจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป”

ไม่ว่าใครจะมองแนวโน้มต่อการคัมแบ็กมานั่งผู้นำมะกันของทรัมป์ในมุมลบอย่างไร แต่ ทักษิณ ชินวัตร กลับเห็นในมุมบวก โดยเชื่อว่า เศรษฐกิจจะโตขึ้น เนื่องจากมีเม็ดเงินที่เรียกว่าเม็ดเงินมากกว่าพันธบัตรเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ พร้อมถือโอกาสแสดงวิสัยทัศน์ต่อสิ่งที่อดีตนายกฯ พยายามสื่อสารมาก่อนหน้าที่เรียกว่า “สเตเบิลคอยน์” ออกเหรียญที่ใช้พันธบัตรรัฐบาลแบ็กอัพ เพราะว่าต้องการเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และวันนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเม็ดเงินอยู่ในระบบเศรษฐกิจน้อย จึงทำให้เศรษฐกิจโตน้อยกว่าประเทศอื่น และพยายามต้องทำเศรษฐกิจให้โตเท่าหรือมากกว่าคนอื่น

น่าสนใจ เพราะคนทั่วไปย่อมไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้ ประสาทักษิณที่น่าจะเป็นคอเดียวกันกับทรัมป์ เข้าใจว่า สเตเบิลคอยน์คือ สินทรัพย์ดิจิทัลหรือเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีที่มีความมั่นคงสูง ซึ่งเอาไว้เป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯ อื่น ๆ เหมือนเงินในโลกความเป็นจริง นอกจากนี้ ยังมีมูลค่าที่อ้างอิงตามสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เงินตราต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งเหรียญคริปโตฯ อื่นที่มีการเทรดอยู่ในตลาด

นั่นจึงเป็นจุดที่ผู้มากบารมีของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ย้ำว่า ต้องอธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจให้เข้าใจ ถ้าคนที่ไม่เข้าใจก็พยายามเงี่ยหูฟังให้เข้าใจหน่อย เปิดสมองหน่อย อย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว แล้วจะเข้าใจ พอเข้าใจแล้ว จะได้ประโยชน์ร่วมกัน เรียกได้ว่าใช้ความเก๋าสร้างความได้เปรียบ โชว์ศักยภาพในการที่จะหาช่องทางช่วยรัฐบาลเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนเต็มที่ โดยมองข้ามความพยายามของพวกขาประจำ และกลุ่มเคลื่อนไหวที่จ้องล้มรัฐบาลเต็มที่

ความจริงไม่ใช่เรื่องการประชดประชัน แต่สิ่งที่ทักษิณพูดถึงกลุ่มต่อต้าน นักร้องเรียนทั้งหลายจะเชิญมากินไวน์มากินน้ำเปลี่ยนนิสัย เผื่อนิสัยจะเปลี่ยนบ้าง ก็เป็นประเภทไก่เห็นตีนงูรู้เช่นเห็นชาติกันทั้งนั้น ยิ่งท่วงทำนองของคนอยากเป็นใหญ่แสดงออกในเชิงถ่อมตัว สวนทางกับพวกรับงานที่เฮ้ว ๆ จะก่อม็อบมันก็เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า ขบวนการเคลื่อนไหว สร้างความปั่นป่วนทางการเมืองที่เป็นไป แท้จริงแล้วมีที่มาที่ไปอย่างไร สอดประสานกันแบบไหน

คนทั่วไปก็คงรู้สึกไม่ต่างจากทักษิณต่อประเด็นที่คนบ้านในป่าโอดโอยว่าตัวเองตกเป็นเป้าทางการเมือง ทั้งที่ผ่านมาท่องแต่คาถาไม่รู้ ไม่เห็นตลอด ต้นตอของความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงคงมาจากการยึดอำนาจตามแผนที่วางกันไว้ถึง 3 ปี แล้วสืบทอดอำนาจต่อนั่นเอง เขียนกฎหมายไม่ใช่เพื่อการอยู่ยาวเพียงอย่างเดียว แต่ยังวางหมากกลเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ระบอบทักษิณและเพื่อไทยกลับคืนสู่อำนาจบริหารได้ พอกฎหมายมีเงื่อนงำ ไม่ได้มุ่งทำเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่ ย่อมนำมาซึ่งปัญหา ครั้นจะแก้ก็เป็นไปอย่างยากลำบาก

รัฐบาลพลิกขั้ว โจทย์ใหญ่ที่จะเข้ามาทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้นแล้ว การสะสางปมที่เผด็จการสืบทอดอำนาจทำไว้ ยังต้องทำไปในลักษณะรับสภาพและปรับปรุงแก้ไขไปตามสภาพ ฐานะคนที่ถูกกระทำมากว่า 20 ปี ถูกแล้วที่ทักษิณจะบอกกับคนที่กำลังโอดครวญ จะเรียกคะแนนสงสารอะไรน่าจะโดนน้อยที่สุดแล้ว ต้องโดนอย่างตน ความจริงการเมืองยังให้เกียรติ เกรงใจแกที่เป็นผู้ใหญ่ ตนเป็นผู้ใหญ่กว่าแก แต่อายุน้อยกว่าหน่อย ยังโดนหนักเลย เคยหยิ่งผยองพองขน พอหมดอำนาจไร้บารมีสภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น

อรชุน

Back to top button