
รวยล้นฟ้า & จนติดดิน
รายงานฉบับใหม่จาก Oxfam International (องค์กรการกุศลระดับโลก) เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันและอำนาจขององค์กรธุรกิจระดับโลกเผยว่า...
รายงานฉบับใหม่จาก Oxfam International (องค์กรการกุศลระดับโลก) เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันและอำนาจขององค์กรธุรกิจระดับโลกเผยว่า มหาเศรษฐี 5 อันดับแรกของโลก มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า จาก 405,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็น 869,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2563 อัตรา 14 ล้านดอลลาร์ต่อชั่วโมง ขณะที่ประชากรเกือบ 5,000 ล้านคน ยากจนลงและหากแนวโน้มปัจจุบันยังคงดำเนินต่อไปโลกจะมีมหาเศรษฐีล้านล้านคนแรกภายใน 10 ปี แต่ความยากจนจะไม่หมดจนกว่าจะผ่านพ้น 229 ปี
สำหรับมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยสุดในโลก 5 คนแรก คือ 1)แบร์นาร์ด อาร์โนลต์ อภิมหาเศรษฐีผู้อยู่เบื้องหลังอาณาจักรแบรนด์หรู LVMH 2)เจฟฟ์ เบซอส เจ้าพ่อแอมะซอน 3)วอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าพ่อแห่งการลงทุน 4)แลร์รี เอลลิสัน ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มออราเคิล 5)อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 114% นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา
นั่นทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมกันเพิ่มขึ้นเป็น 896,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 31 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 504 ล้านบาทต่อชั่วโมง..
โดย Oxfam เรียกร้องให้รัฐบาลลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนส่วนอื่น ๆ ในสังคมอย่างรวดเร็วและรุนแรง ด้วยการฟื้นฟูรัฐ รัฐที่มีประสิทธิภาพและพลวัต เป็นปราการที่ดีที่สุดที่จะต่อสู้กับอำนาจขององค์กรขนาดใหญ่ รัฐบาลควรจัดให้มีบริการด้านการแพทย์และการศึกษาอย่างทั่วถึง และสำรวจสินค้าที่ส่งถึงสาธารณะ และทางเลือกสาธารณะภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่พลังงานไปจนถึงการขนส่ง การควบคุมอำนาจขององค์กรธุรกิจ
รวมถึงการยุติการผูกขาดและการทำให้กฎหมายสิทธิบัตรเป็นประชาธิปไตย หมายถึงการออกกฎหมายเกี่ยวกับค่าจ้างขั้นต่ำ การจำกัดเงินเดือนของซีอีโอ และการเก็บภาษีใหม่กับมหาเศรษฐีและองค์กรธุรกิจ รวมถึงภาษีทรัพย์สินถาวรและภาษีกำไรส่วนเกิน Oxfam ประมาณการว่าภาษีทรัพย์สินสำหรับเศรษฐีและมหาเศรษฐีของโลกอาจสร้างรายได้ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
ธุรกิจที่มีการแข่งขันและทำกำไรไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยความโลภของผู้ถือหุ้น ธุรกิจฝั่งพรรคเดโมแครต จะทำให้ผลตอบแทนของธุรกิจเท่าเทียมกันมากขึ้น หากธุรกิจในสหรัฐฯ เพียง 10% เป็นของพนักงาน นั่นอาจทำให้ส่วนแบ่งความมั่งคั่งของประชากรครึ่งประเทศที่ยากจนที่สุดของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า รวมถึงทำให้ความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยของครัวเรือนของคนผิวดำเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าด้วย
ทั้งนี้ Oxfam อ้างอิงข้อมูลจากธนาคารโลกที่ระบุว่า จำนวนผู้คนที่มีความเป็นอยู่ในฐานะยากจน แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ปี 2533 ส่วนคนรวยที่สุด 1% ของประชากรทั้งหมดเป็นเจ้าของทรัพย์สินเกือบ 45% ขณะที่ 44% ของมนุษยชาติดำรงชีวิตอยู่ ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจนของธนาคารโลกที่อยู่ระดับ 6.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
โดย Amitabh Behar ผู้อำนวยการบริหารระดับนานาชาติ Oxfam ระบุว่า ความล้มเหลวในการหยุดยั้งมหาเศรษฐี 1,000 ล้านดอลลาร์ กำลังจะกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับล้านล้านดอลลาร์จากอัตราการสะสมความมั่งคั่งมหาเศรษฐี 1,000 ล้านดอลลาร์ ที่ไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว แต่ยังทรงอิทธิพลเพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน