คิดจะยำ..ต้องเปรี้ยวนำ

ก่อนหน้านี้ “โมนิก้า” มีทีท่าต่อนักลงทุนที่เป็น “กองทุน” กับ “ต่างชาติ” ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ทันทีที่โดนตลบหลังครั้งล่าสุด ก็ทำให้อีฉันกลับมามีความเชื่อที่ว่า นักลงทุนเหล่านี้เป็นพวกจอมพลิ้ว


ก่อนหน้านี้ “โมนิก้า” มีทีท่าต่อนักลงทุนที่เป็น “กองทุน” กับ “ต่างชาติ” ดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ทันทีที่โดนตลบหลังครั้งล่าสุด ก็ทำให้อีฉันกลับมามีความเชื่อที่ว่า นักลงทุนเหล่านี้เป็นพวกจอมพลิ้ว และไม่ได้มีมุมมองที่เป็นบวกกับตลาดหุ้นไทยสักเท่าไหร่? ตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสทิ้งตัวลงไปยืนบริเวณ 1,300 จุดในไม่ช้า เพราะยุทธวิธีลากแล้วทุบบ่อย ๆ มันคือการไล่เม่าออกจากตลาดหุ้นไงล่ะคะ

ที่น่าสนใจพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำซาก “โมนิก้า” เลยสงสัยในใจว่า การขึ้นของดัชนีเมื่อวันศุกร์มาปิดที่ระดับ 1,354.07 จุด บวกไป 9.90 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.07 หมื่นล้านบาท อาจเป็นหนังม้วนเดิมที่ฉายซ้ำหลายรอบ รวมถึงตัวแปรต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุนการขึ้นของตลาดหุ้นไทย ก็ยังเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่พูดวนไปวนมา เดี๊ยนถึงไม่อยากออกตัวสุดซอยเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะการทิ้งตัวลงแรงของดัชนีเมื่อสัปดาห์ก่อน ยังเป็นภาพที่ติดตาจนถึงวันนี้เจ้าค่ะ

เมื่อสถานการณ์ไม่เอื้อเหมือนที่เดี๊ยนอยากจะเห็น และในสังคมขาเม้าท์มีเรื่องแซ่บให้ติดตาม “โมนิก้า” เลยใช้โอกาสนี้พูดถึงเหตุการณ์ร้อน ๆ ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อประมวลเบื้องลึกของแต่ละเคสมีอะไรในกอไผ่ หลังมีข้อมูลบางอย่างเริ่มหลุดออกมาทีละนิด ซึ่งมีทั้งเรื่องด้านบวกและด้านลบที่แมงลือกำลังเม้าท์สนุกปาก เดี๊ยนเลยขออนุญาตเข้ามาแจมประเด็นดังกล่าวด้วยคนนะจ๊ะ

โดยเฉพาะในรายของ TOP เริ่มปรากฏข่าวดีให้ผู้ถือหุ้นได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เมื่อมีข่าวหลุดออกมาจากแดนกิมจิว่า ซัมซุงยอมคืนเงินหลักประกันในส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบออกมาราว 3 พันล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ช่วยให้ไทยออยล์ลดภาระที่ต้องแบกรับลงไปบางส่วน และอีกทางหนึ่งก็แสดงให้เห็นแนวทางการแก้ปัญหากำลังไปได้สวย อีฉันเลยมองว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ ที่กำลังจะตามมาพะย่ะค่ะ

รายถัดมาที่ “โมนิก้า” อยากเม้าท์ถึงก็คือ การทะยานขึ้นของหุ้นปูนใหญ่ SCC ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 156 บาท บวกไป 6 บาท หรือขึ้นไป 4% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 731 ล้านบาท หลังราคาหุ้นลงมาทำโลว์ในรอบ 15 ปี 7 เดือน ที่บริเวณ 150 บาทเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันว่า “เด้งเพื่อไปต่อ” หรือ “เด้งเพื่อลงต่อ” เพราะสิ่งที่ทุกคนรับรู้มาตลอดคือ วันนี้ธุรกิจไม่เหมือนเดิมนะคะ

เมาท์ถึงเรื่องไม่เหมือนเดิมขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอมองไปที่ QLT เป็นลำดับถัดมา เพราะเป็นบริษัทที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะการใช้มาตรา 100 เพื่อดำเนินการปลดทิ้งกลางอากาศคนที่เข้ามาบริหารอย่าง “พิทักษ์” ซึ่งนั่งในตำแหน่งประธานกรรมการ และ “วิชัย” ซึ่งนั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน โดยให้มีผล 23 ม.ค. 68 พร้อมกับอ้างเหตุไม่เชื่อมั่นแบบนี้..มันมีกลิ่นตุ ๆ ที่ทำให้อีฉันต้องกระโจนลงไปดูนะออเจ้า

ว่ากันว่าที่บริษัทต้องปลดเร่งด่วน เพราะผู้บริหารทั้ง 2 รายเข้าไปรื้อโครงสร้างธุรกิจ แล้วดันไปเจอธุรกรรมผิดปกติบางอย่างเข้าจังเบ้อเร่อ จึงดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อธุรกิจ 300 ล้านบาทเหมาะสมไหม? ซึ่งทำให้ไอ้โม่งที่ถือหุ้นใหญ่บางกลุ่มไม่พอใจอย่างแรง เพราะกลัวจะโดนสาวมาถึงตัวเอง เลยต้องเปิดปฏิบัติการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมแบบนี้..มันไม่หมูหรอกค่ะ

เนื่องจากธุรกรรมผิดปกติที่ผู้บริหารทั้ง 2 รายตรวจพบนั้น! ถูกส่งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง ตลท. กับ ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว “โมนิก้า” ถึงพูดได้เต็มปากว่า งานนี้เละกันไปข้างหนึ่งแน่นอน รวมทั้งพฤติกรรมดิสเครดิตโดยป้อนข้อมูลให้กับสื่อออนไลน์บางแห่งนำเสนอข่าวในลักษณะบิดเบือน ก็กำลังจะถูกเปิดโปงในไม่ช้าแบบนี้..คุณ ๆ ท่าน ๆ ปูเสื่อรอชมกันได้เลยจ้า!

ปิดท้ายกันที่ควันหลงเรื่องบันทึกด้อยค่าเกี่ยวกับธุรกิจกัญชาในงบการเงินของบริษัทจดทะเบียน กำลังกลายเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้บริหารปวดหัวกันเป็นแถว เพราะหากต้องบันทึกเข้ามาเต็มจำนวนเหมือนกับบางบริษัทโดนสั่งให้ทำ “โมนิก้า” พูดได้ทันทีว่า เละถ้วนหน้า! เพราะตัวเลขดังกล่าวจะถูกบันทึกลงในงบปี 67 จึงไม่ต้องแปลกใจที่หุ้นกัญชงกัญชาตกอยู่ในสภาพแดงเถือก..อิอิอิ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button