
TTB บริหารเงินล้น.!?
ด้วยภาวะตลาดหุ้นไทยที่ซึมกะทือมานานหลายปี ทำให้ราคาหุ้นหลาย ๆ บริษัทไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงอย่างที่ควรจะเป็น
ด้วยภาวะตลาดหุ้นไทยที่ซึมกะทือมานานหลายปี ทำให้ราคาหุ้นหลาย ๆ บริษัทไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงอย่างที่ควรจะเป็น เห็นได้จากหลาย ๆ หุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงาน หรือกลุ่มแบงก์ที่ราคาต่ำบุ๊กเกือบยกกลุ่ม..!!
ในขณะที่จุดเด่นของแบงก์มีสภาพคล่องสูง…เงินสดล้นมือ ซึ่งแนวทางที่จะบริหารเงินสดและช่วยให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพและดูดีขึ้น ก็คือการจัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock…
เลยเป็นที่มาของมติบอร์ดธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2568 ไฟเขียวให้ซื้อหุ้นคืนภายใต้วงเงินรวมไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570…ประเดิมปีนี้วงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนจำนวน 3,500 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.6% เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 ก.พ. ถึงวันที่ 1 ส.ค. 2568
ถ้าคิดจากหุ้นที่ซื้อจำนวนไม่เกิน 3,500 ล้านหุ้น และเม็ดเงินที่ใช้ไม่เกิน 7,000 ล้านบาท หากกดเครื่องคิดเลขดูแล้ว จะตกราคาหุ้นละ 2 บาท ก็มีพรีเมียม 4.7% จากราคาในกระดานเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2568 ซึ่งปิดตลาดที่ 1.91 บาท
วานนี้ (29 ม.ค. 2568) จึงเห็นราคาหุ้น TTB ดีดขึ้นไปแตะที่ราคาสูงสุด 2.02 บาท ก่อนจะย่อลงมาปิดตลาดที่ 1.97 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 3.14% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นกว่า 2,010.68 ล้านบาท
สอดรับกับแนวทางที่แม่ทัพใหญ่ TTB “ปิติ ตัณฑเกษม” บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะทำ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรก การขยายอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ให้เกิน 10% ในระยะกลาง ส่วนอีกเรื่องเป็นการจัดการเงินทุน ซึ่งหนึ่งในทางเลือกคือ การซื้อหุ้นคืน หรือการลงทุนซ้ำ (ทั้งแบบการเติบโตจากภายในหรือภายนอก) นอกเหนือจากการเพิ่มเงินปันผล (ปัจจุบันอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 5.47%)…
ที่น่าสนใจ คงเป็นเป้าหมายการเพิ่ม ROE ให้เกิน 10% เทียบกับ ROE ปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 9.0%
ซึ่งการซื้อหุ้นคืน อันดับแรก จะทำให้ ROE เพิ่มขึ้นมา ถัดมาจะทำให้อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากตัวหารหรือจำนวนหุ้นที่ลดลง ขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลมากขึ้นด้วยนะ…
แล้วถ้าดูจากความพร้อมของ TTB ที่ ณ สิ้นปี 2567 มีเงินสดสูงกว่า 14,809 ล้านบาท ถือว่ามีความพร้อมมั๊ก ๆ…
โอเค…แม้การซื้อหุ้นคืนอาจทำให้เงินสดพร่องลงไป แต่ในระยะ 3 ปีข้างหน้า เงินสดก็จะพอกพูนตามกำไรแบงก์ที่เพิ่มขึ้น…เป็นไปตามผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ซึ่งปิดงบงวดปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ 21,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% จากปี 2566 ที่ทำได้ 18,622 ล้านบาท และมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 56,452 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 2566 ที่ทำได้ 57,207 ล้านบาท
ขณะที่ มุมมองของนักวิเคราะห์ต่างมองบวกต่อการซื้อหุ้นคืนของ TTB อย่างบล.ดาโอ มองว่าจะช่วยหนุนราคาหุ้นได้ในระยะยาว และทำให้ ROE เพิ่มสูงขึ้น โดยหากส่วนของผู้ถือหุ้นหายไปทุก ๆ 7,000 ล้านบาท ROE จะเพิ่มขึ้นได้ 0.2% และราคาเป้าหมายเพิ่มได้ 0.07 บาท ขณะที่ผู้บริหารตั้งเป้า ROE ระยะถัดไปจะอยู่ที่ 10% จากปี 2567 ที่ 9%
ฟากบล.เคจีไอ ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นบวกต่อ TTB บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของธนาคารที่จะบริหารจัดการในการเพิ่ม ROE ทั้งนี้ เงินกองทุน Tier I ยังแข็งแกร่งอยู่ในระดับ 17% หากใช้สมมติฐานว่าธนาคารใช้งบซื้อหุ้นคืนเต็มวงเงินจะทำให้ฐานเงินทุนของ TTB ลดลง และทำให้ ROE เพิ่มขึ้น 0.30-0.40% เป็น 10.2% ในปี 2568 ซึ่ง ROE ที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ P/BV เพิ่มขึ้นจาก 0.85 เท่า เป็น 0.9 เท่า
เอ๊ะ…เมื่อ TTB เป็นผู้นำกลุ่มแบงก์ในการประกาศซื้อหุ้นคืนอย่างนี้ ก็น่าจะมีผู้ตามน่ะสิ เพราะยังมีอีกหลายแบงก์ที่อยู่ในวิสัยที่ทำได้ ทั้งราคาหุ้นต่ำบุ๊ก มีสภาพคล่องสูง เงินสดล้นมือ และมีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรอยู่บานตะไท…
ส่วนแบงก์ไหนที่จะประกาศซื้อหุ้นคืนเป็นแบงก์ถัดไป..??
โปรดอดใจรออีกสักหน่อย…แต่เชื่อว่าต้องมีแหง ๆ…
…อิ อิ อิ…