![](https://media.kaohoon.com/wp-content/uploads/2024/03/CL_2024_ratchada.jpg)
OKJ วิสามัญฆาตกรรม.!?
ถือเป็นหนึ่งในหุ้นไอพีโอท็อปฟอร์มของปี 2567 ก็ว่าได้...สำหรับ บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ หรือ OKJ หุ้นอาหารสุขภาพแบรนด์ “โอ้กะจู๋”
ถือเป็นหนึ่งในหุ้นไอพีโอท็อปฟอร์มของปี 2567 ก็ว่าได้…สำหรับบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ หุ้นอาหารสุขภาพแบรนด์ “โอ้กะจู๋” ซึ่งตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาโชว์ฟอร์มเหนือเมฆ ช่วงแรก ๆ ราคาหวือหวาขึ้นไปแตะที่ 17 บาท จากราคาไอพีโอ 6.70 บาท ทำให้คนที่ได้ไอพีโอและคนที่ต้องการเข้าลงทุนระยะยาวแฮปปี้เอนดิ้งกันถ้วนหน้า…
ด้วย OKJ ถูกมองว่า 1) จะเติบโตตามเทรนด์รักษ์สุขภาพ 2) ได้เงินจากการระดมทุนก้อนโต 1,023.90 ล้านบาท ซึ่งไม่มีต้นทุนทางการเงิน โดยเกินกว่าครึ่งหรือราว 753-759 ล้านบาท จะนำไปใช้ขยายสาขา และ 3) มีการออกโปรดักส์ใหม่ ๆ ที่กลายเป็นกระแสไวรัลบนโลกโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง
เลยถูกหมายหัวว่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดด…เป็นหุ้น Growth Stock.!!
แต่ดันเปิดงบในไตรมาส 4/2567 ออกมาไม่ได้ดั่งใจ เนื่องจากมีกำไรสุทธิแค่ 39.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 36.8 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเห็นการเติบโต 75% ในขณะที่งบปี 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 201.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.4% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 140.6 ล้านบาท ก็ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเติบโต 60% เช่นกัน
เมื่อวันศุกร์ที่ 7 ก.พ. 2568 เลยถูกกระหน่ำขายจนรูดติดฟลอร์ ด้วยมูลค่าการซื้อขายปาไปกว่า 1,228.1 ล้านบาท
ทั้ง ๆ ที่บริษัทไม่ได้ขาดทุนนะ แค่เติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่แรงขายเหมือนบริษัทกำลังจะเจ๊งยังไงยังงั้น…แล้วมีที่ไหน งบไม่ได้ดั่งใจ แต่ราคาหุ้นลงทีเดียวฟลอร์เลย มัน Over acting ไปป๊ะเนี่ย..??
ขายหนักอย่างนี้…ไม่ต่างจากวิสามัญฆาตกรรมนักลงทุน..!! ว่ามั้ย คงมีคนตายกันเป็นเบือละมั้ง…
พอไปส่องคำอธิบายงบไตรมาส 4/2567 ปรากฏว่าตัวที่กดดันกำไรเป็นขาของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น 55.2% สาเหตุหลักมาจากโครงสร้างค่าเช่าที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับแบรนด์โอ้ จู๊ซ และโอ้กะจู๋ แรปแอนด์โรล และค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงค่าใช้จ่ายการตลาดที่มีการเปิดตัว Brand Admirer และเมนูใหม่ของแบรนด์โอ้ จู๊ซ ช่วงไตรมาส 4/2567
จากคำอธิบายที่ดูคลุมเครือ ทำให้มีข้อกังวลว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนั้น เกิดขึ้นครั้งเดียวหรือเปล่า..?? จะเจ็บแต่จบมั้ย..?? หรือจะลากยาวไปในไตรมาสต่อ ๆ ไปด้วย…เมื่อไม่มีสัญญาณจากหมายเลขที่ท่านเรียก…อุ๊ย คำชี้แจงจากบริษัท เลยเป็นที่มาของการถล่มขายหุ้นจนรูดติดฟลอร์อย่างที่เห็น…
กระทั่งล่าสุดบริษัทมีคำอธิบายงบแก้ไขเพิ่มเติม…หากเป็นกำไรสุทธิหลังรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ในไตรมาส 4/2567 จะอยู่ที่ 60.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 36.8 ล้านบาท ส่วนงวดปี 2567 กำไรสุทธิอยู่ที่ 223.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.7% จากปี 2566 ที่มีกำไรสุทธิ 140.6 ล้านบาท
ต้องหมายเหตุไว้ว่า กำไรสุทธิดังกล่าวไม่รวมรายการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดสำหรับ Brand Admirer, ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าสำหรับการเปิดร้านใหม่ และค่าใช้จ่ายการเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทฯ จำนวน 21.5 ล้านบาท…โปรดรับทราบตามนี้นะออเจ้า
ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น 55.2% ก็มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า หลัก ๆ มาจากค่าใช้จ่ายล่วงหน้าก่อนการเปิดร้านใหม่ (pre-opening cost) ได้แก่ เงินเดือนพนักงาน ค่าฝึกอบรม ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามการขยายสาขาจำนวนมากถึง 12 สาขา ในไตรมาส 4/2567 ส่วนหนึ่งมาจากการดีเลย์การเปิดสาขาใหญ่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเป็นการลงทุนในระยะยาว เพื่อรองรับการขยายสาขาเพิ่มเติมในภูมิภาคนี้ ซึ่งต้นทุนดังกล่าวจะลดลงไปหลังผ่านการลงทุนในช่วงเริ่มต้น
รวมถึงค่าใช้จ่ายการตลาดสำหรับ Brand Admirer เพื่อเปิดตัวเมนูใหม่ การโปรโมต การปรับเมนู ส่วนค่าตอบแทน Brand Admirer เป็นสัญญา 1 ปีจนถึงช่วงไตรมาส 3/2568 ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ที่ทยอยตัดตามสัญญาตั้งแต่ไตรมาส 3/2567
ก็ชัดเจนขึ้นอีกนี๊ดดด…แต่ดูเหมือนนักลงทุนยังไม่ปลื้มนะ สะท้อนได้จากยังมีแรงขายต่อ จนวานนี้ (10 ก.พ. 2568) ราคาทรุดไปอีก 8.26% ปิดตลาดที่ 10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 693.9 ล้านบาท
สงสัย “เฮียชลากร เอกชัยพัฒนกุล” ที่เป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ต้องออกโรงชี้แจงแล้วล่ะ…เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน
อย่าชะล่าใจไปนะเจ้าคะ…เพราะหากเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นขึ้นแล้ว…มันยากที่จะกู้คืนกลับมา
เดี๋ยวจะกู่ไม่กลับ…คราวนี้ละแย่เลย
…อิ อิ อิ…