LTF ต้องใช้เกณฑ์เดิม

ดัชนีหุ้นไทยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พลิกบวก 13.48 จุด ขึ้นมาปิดที่ 1,283.97 จุด แม้ว่าดัชนีจะบวกได้ค่อนข้างดี แต่เมื่อหันมาดูมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างจะน้อยไปสักหน่อย


ดัชนีหุ้นไทยเมื่อวันอังคารที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา พลิกบวก 13.48 จุด ขึ้นมาปิดที่ 1,283.97 จุด

แม้ว่าดัชนีจะบวกได้ค่อนข้างดี

แต่เมื่อหันมาดูมูลค่าการซื้อขาย 38,989 ล้านบาทนั้น ค่อนข้างจะน้อยไปสักหน่อย

ส่วนปัจจัยที่ช่วยดันดัชนีขึ้นมา

ว่ากันว่ามาจากเซนติเมนต์เชิงบวกที่จะมีการนำ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ แอลทีเอฟ (LTF) กลับมาเสนอขายต่อนักลงทุนอีกครั้ง เพื่อนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

แต่ต้องมาดูกันต่อว่า หุ้นจะตอบรับกับแอลทีเอฟไปได้มากแค่ไหน

เพราะหากจำกันได้ในช่วงที่จะเปิดขายกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท

ดัชนีหุ้นไทยไต่ระดับขึ้นมาจากบริเวณ 1,270 จุด

ทะยานขึ้นมาเกือบแตะ 1,500 จุด เพราะคาดหวังว่า วายุภักษ์ จะเข้ามาช่วย “รับ” ดัชนีที่อาจจะเป็นขาลงได้

ผ่านมาถึงวันนี้ ไม่สามารถทราบน่าชัดว่า วายุภักษ์ใส่เงินในตลาดหุ้นไทยไปจำนวนเท่าไหร่แล้ว

แต่หากอ้างอิงจากแหล่งข่าวจากผู้จัดการกองทุน และกระทรวงการคลัง ต่างยังบอกว่า วายุภักษ์ ยังคงลงทุนเรื่อย ๆ ตามจังหวะของตลาด และถือว่าเป็นไปตาม “กลยุทธ์”

เพราะวายุภักษ์ ในส่วนของการลงทุนนั้นจะเป็น “เชิงรับ” มากกว่า “ไล่ราคา”

นอกจากกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่งที่ออกมาในช่วงก่อนปลายปี 2567

เรายังมี Thai ESG (TESG) เข้ามาช่วยด้วย

ในช่วงเริ่มแรกนั้น เป้าหมายของ TESG เพื่อต้องการเข้ามา “พยุงหุ้น”

โดยมีการประเมินกันว่า จะมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบของ TESG ในช่วงปลายปีระหว่าง 2-2.5 หมื่นล้านบาท

ปรากฏว่า เงินเข้ามาค่อนข้างเป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้

แต่ประเด็นที่น่าผิดหวังคือ ภายหลังกลับมีการปรับเปลี่ยน (โดยการหารือของคลังและ สำนักงาน ก.ล.ต.) ที่ให้ TESG สามารถจะลงทุนในตราสารหนี้ TESG ด้วยได้

ผลคือ เม็ดเงินลงทุนที่เข้ามายัง TESG กลับเข้าไปอยู่ในกองทุน TESG ตราสารหนี้เป็นส่วนใหญ่

ส่วนเงินที่เข้ามายังตลาดหุ้น (หุ้น ESG) มีค่อนข้างน้อย

การปรับเกณฑ์การลงทุนของ TESG ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ได้ออกกองทุนเกี่ยวกับ ESG ออกมา 3 ประเภทกองทุน คือ กองทุนตราสารหนี้ (ESG) กองทุนหุ้น (ESG) และกองทุนผสม (ตราสารหนี้+หุ้น ESG)

การปรับเงื่อนไขลงทุน ทำให้เป้าของ TESG ที่ต้องการเข้ามาพยุงหุ้นไทย จึงเปลี่ยนไป

หรือไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ในช่วงเริ่มการจัดตั้งนั่นแหละ

ทีนี้พอหุ้นลงหนัก ทางวายุภักษ์ฯ เองคงแบกไม่ไหว ส่วน TESG (หุ้น) เงินเข้ามาน้อยมาก

ทำให้หุ้นไทยมีสภาพอย่างที่เห็นกัน

ในประเด็นที่เกี่ยวกับกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีหลังหมดจาก LTF

ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างพยายามที่จะหากองทุนประเภทใหม่เข้ามารองรับ เช่น SSF TESG แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ

อย่าง SSF เอง ส่วนใหญ่จะไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ เพราะเกณฑ์ลงทุนเปิดทางไว้

เงินจาก SSF จึงไม่ค่อยเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย

บวกกับหุ้นสหรัฐฯ เป็นขาขึ้น ทำให้ผลตอบแทนของ SSF (ลงทุนสหรัฐฯ) ต่างมีผลตอบแทนดีมาก

กลับมาที่เรื่องของแอลทีเอฟ ที่ล่าสุด น่าจะค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า จะมีการนำแอลทีเอฟกลับมา แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่า เงื่อนไขการลงทุนจะเหมือนเดิมหรือไม่

ขณะที่บรรดาผู้จัดการกองทุน ต่างเสนอแนะว่า หากนำแอลทีเอฟ กลับมาจริง ๆ

ควรจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดิมทั้งหมด เพราะไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถตอบโจทย์ให้ตรงจุดได้นั่นคือ

“เข้ามาช่วยพยุงหุ้น”

ธนะชัย ณ นคร

Back to top button