ยักษ์สะดุดยอดหญ้า?

ในที่สุด “โมนิก้า” ก็เห็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจนได้ หลังดัชนีทรุดตัวลงมาทำโลว์ใหม่ที่บริเวณ 1,236.80 จุด ก่อนจะตีกลับขึ้นมาปิดที่ 1,256.48 จุด ลบไป 15.62 จุด


ในที่สุด “โมนิก้า” ก็เห็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจนได้ หลังดัชนีทรุดตัวลงมาทำโลว์ใหม่ที่บริเวณ 1,236.80 จุด ก่อนจะตีกลับขึ้นมาปิดที่ 1,256.48 จุด ลบไป 15.62 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.63 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางกำไรของบริษัทยักษ์ใหญ่ลดฮวบ แถมมีข่าวร้ายปะทุรายวันแบบนี้ มันทำให้บรรยากาศตลาดหุ้นแย่ลงอย่างเลี่ยงไม่พ้น เพราะนักลงทุนกระโดดหนีกันอุตลุด จึงมีโอกาสที่ดัชนีไหลลงไปยืนต่ำกว่าระดับ 1,200 จุดไงล่ะคะ

ที่น่าสนใจคือ สภาพของตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ยังพอมีหวังที่จะได้เห็นการกระเตื้องขึ้นในไตรมาส 1 ปี 68 ก็เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่สำหรับตลาดหุ้นไทย เพราะการร่วงหล่นของดัชนีในช่วงที่ผ่านมา ล้วนเกิดจากตัวเลขกำไรไม่ตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นช็อตที่ทำให้อีฉันกังวลสุด ๆ หลังตัวเลขกำไรไตรมาส 4 ปี 67 ทำคนถือหุ้นเกิดอาการช็อกตาตั้งไปตามกันน่ะซี

โดยเฉพาะกำไรไตรมาส 4 ปี 67 ของหุ้น DELTA ที่ลดฮวบเกินครึ่งหนึ่ง มันเป็นสถานการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจชิปกำลังเข้าสู่จุดอิ่มตัวใช่ไหม? และการมาของชิป AI กำลังสร้างความสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมชิปใช่ไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็หมายความว่า การทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 86.50 บาท ลบไป 26.50 บาท หรือลงไป 23.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.26 พันล้านบาท อาจไม่ใช่จุดต่ำสุดของการลงเที่ยวนี้นะตัวเอง

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุน AOT เป็นวันที่สองติดต่อกัน เพราะความกังวลเกี่ยวกับคิง เพาเวอร์ขาดสภาพคล่อง จนไม่มีปัญญาชำระหนี้ตามกำหนด มันกลายเป็นสนิมเนื้อในที่จะกัดกร่อนหุ้นตัวนี้ไปอีกนาน แถมเจ้าของพื้นที่อย่าง ทอท. ได้แต่นั่งทำตาปริบ เพราะต้องรอให้ลูกหนี้มีเงินมาใช้หนี้ และจ่ายค่าปรับแบบนี้ นักลงทุนถึงทิ้งหุ้นอุตลุดเหมือนวันก่อน หุ้นเลยทรุดตัวลงมาปิดที่ 43.25 บาท ลบไป 3.75 บาท หรือลงไป 8% ด้วยมูลค่า 7.54 พันล้านบาทเจ้าค่ะ

ในเมื่อตลาดหุ้นถูกปกคลุมด้วยความกังวลมากมาย และนักเล่นได้เห็นตัวอย่างหุ้นที่ทำผิดหวังเยอะพอสมควร “โมนิก้า” จึงไม่แปลกใจที่ CCET กลายเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่มีแรงขายเยอะมาก จนราคาหุ้นอยู่ในทิศทางไซด์เวย์ดาวน์แบบนี้ เดี๊ยนบอกได้เลยว่า ถ้าไตรมาส 1 ปี 68 กำไรไม่โตเหมือนที่เม้าท์กัน ก็จะทำให้การยืนปิดที่ระดับ 7.50 บาท ลบไป 0.05 บาท หรือลงไป 0.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 943 ล้านบาท ดูแพงในทันทีจ้า!

เหมือนกับในรายของ COM7 ที่โชว์ฟอร์มได้ดีเมื่อปี 67 และกลายเป็นหุ้นที่เดินหน้าขึ้นลูกเดียว แต่ในปี 68 ราคาหุ้นกลับอ่อนยวบเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ แต่ยังมีแรงซื้อเข้ามารับหุ้นเป็นช่วง ๆ จนวานนี้หุ้นยืนปิดเสมอตัวที่ระดับ 21.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 129 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 17 เท่าแบบนี้ เดี๊ยนถือเป็นระดับที่น่าสะสมก็จริง แต่อย่าลืมว่า เที่ยวนี้เขาเดิมพันด้วยกำไรไตรมาส 4 ปี 67 ต้องโตพะย่ะค่ะ

สถานการณ์ข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้นโรงหมอ PR9 ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้คิดว่า ราคาหุ้นซึมซับรับข่าวร้ายหมดแล้ว และราคาหุ้นควรเด้งกลับเหมือนกับหุ้นตัวอื่น ๆ แต่ราคาหุ้นกลับอ่อนตัวลงอีก ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 21.30 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 1.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 106 ล้านบาท จึงกลายเป็นช็อตที่ย้ำถึงความกังวลเรื่อง “รายได้” และ “กำไร” ไม่เป็นไปตามเป้า..ยังหลอนไม่เลิกเจ้าค่ะ

ส่วนรายที่จมดิ่งในขาลงเป็นเวลานานอย่าง JAS ก็ทำให้อีฉันรู้สึกใจหายไม่ใช่น้อย เพราะเป็นการไหลลงแบบไม่มีวอลุ่ม ซึ่งเป็นภาพที่ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนไม่กล้ารับของเข้าพอร์ต “โมนิก้า” ถึงรู้สึกแปลกใจที่ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดบอลอังกฤษไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และวานนี้ก็เป็นอีกวันที่ราคาหุ้นยังยืนซึมอยู่ที่บริเวณ 1.77 บาท (ยืนอยู่แถวนี้ร่วมสัปดาห์แล้ว) อีฉันเลยเบิ้ดคำสิเว่า!

ตบท้ายกันที่คู่แค้นที่หันมาจูบปากอย่างดูดดื่มอย่าง “ณวัฒน์” กับ “เจ๊แอน” กันสักหน่อย เพราะการทุ่มเงิน 180 ล้าน เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ “มิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์” เป็นเวลา 5 ปี ทำให้ผู้คนในวงการอ้าปากค้างกันเป็นแถว โดยขาเผือกได้เม้าท์กันอีกครั้งว่า ดีลดังกล่าวจะเพิ่มแวลูจริงไหม? เพราะที่ผ่านมาก็ฮือฮาแค่ช่วงแรก ต่อจากนั้นกระแสก็ซาลง น้องโมเลยไม่แน่ใจว่า การยืนปิดของหุ้น MGI ที่ระดับ 14.90 บาท บวกไป 3.50 บาท หรือขึ้นไป 30.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 170 ล้านบาท น่าตามน้ำไหม..อิอิอิ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button