
ถึงเวลาธุรกิจอินเทอร์เน็ต-ดาวเทียมปรับตัว
นักวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ทำการศึกษาแนวโน้มธุรกิจอินเทอร์เน็ตและดาวเทียมสื่อสารในปี 2568 คาดภาพรวมธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินเติบโต 2.2%
เส้นทางนักลงทุน
“ธนพร เพชรจิรพงศ์” นักวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ทำการศึกษาแนวโน้มธุรกิจอินเทอร์เน็ตและดาวเทียมสื่อสารในปี 2568 คาดภาพรวมธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินเติบโต 2.2% ชะลอตัวจากตลาดอินเทอร์เน็ตผู้บริโภค ทั้งนี้ธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินในไทยมีสองตลาดหลัก คือ 1.ตลาดผู้บริโภค ซึ่งมีส่วนแบ่งรายได้ 83% และ 2.ตลาดองค์กร ที่มีส่วนแบ่ง 17%
ตลาดผู้บริโภคที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน ทำให้แนวโน้มของตลาดมีอัตราเติบโตลดลง รายได้ตลาดผู้บริโภคจะเติบโต 1.6% รายได้ตลาดผู้บริโภคอินเทอร์เน็ตประกอบด้วยอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่และประจำที่ โดยมีสัดส่วนรายได้ราว 78% และ 22% ตามลำดับ
ในปี 2568 อินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่จะเติบโตที่ 2.7% ชะลอตัวจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวราว 4.4% ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตที่ช้าลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติส่งผลต่อรายได้อินเทอร์เน็ตในตลาดดังกล่าว นอกจากนี้จำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตชาวไทยก็มีแนวโน้มทรงตัว เพราะกว่า 96% ของประชากรไทยมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการเริ่มมีการปรับตัว และมุ่งเน้นในการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหมายเลข/เดือนที่มีแนวโน้มขยายตัว 2.4% ในปี 2568 จากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการอินเทอร์เน็ตผ่านการให้บริการเสริมต่าง ๆ เช่น บริการสตรีมมิ่งคอนเทนต์ ประกอบกับผู้บริโภคก็มีแนวโน้มใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ส่งผลให้ยังคงช่วยรักษาการเติบโตของตลาดไว้ได้
สำหรับรายได้จากอินเทอร์เน็ตประจำที่ในปี 2568 จะหดตัว 2% เนื่องจากสัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในครัวเรือนไทยลดลงต่อเนื่องหลังจากแตะจุดสูงสุดในช่วงโควิด-19 ที่ 44.8% ของจำนวนครัวเรือนไทย โดยคาดว่าในปีนี้จะลดลงสู่ระดับ 31.4% จากการกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้าน และการเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีผู้พักอาศัยคนเดียว ซึ่งลดความต้องการอินเทอร์เน็ตประจำที่ ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อหมายเลข/เดือนของปี 2568 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 มีการลดลงถึง 19%
ระหว่างปี 2563-2567 รายได้จากตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กรในไทยเติบโตเฉลี่ย 16.6% ต่อปี จากการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ทำให้ธุรกิจมีการใช้งานและลงทุนในเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เช่น การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ และการประยุกต์ใช้ AI ในภาคธุรกิจ เป็นต้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 2,336% ทำให้ตลาดอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยยังคงมีทิศทางเติบโต โดยในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 14.3% ซึ่งจะมีส่วนหนุนอุปสงค์อินเทอร์เน็ตภาคองค์กรในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของตลาดองค์กรอาจไม่มากพอที่จะขับเคลื่อนภาพรวมของธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน เนื่องจากสัดส่วนรายได้ยังคงน้อยกว่าตลาดผู้บริโภค ปี 2568 รายได้จากธุรกิจดาวเทียมสื่อสารคาดว่าจะเติบโต 5% แต่ยังเผชิญความท้าทายในการฟื้นฟูรายได้ให้กลับมาใกล้เคียงอดีต
สำหรับธุรกิจดาวเทียมสื่อสาร หลังจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคทีวีดิจิทัลและการพัฒนาอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินที่มีต้นทุนต่ำอีกทั้งเข้าถึงได้ง่ายกว่า ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจดาวเทียมลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 มีปัจจัยบวกที่คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ ได้แก่ 1.การปรับตัวของผู้ประกอบการในไทยที่ขยายเข้าสู่ธุรกิจบริการที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การวิเคราะห์และประมวลผลจากภาพถ่ายดาวเทียม บริการประเมินคาร์บอนเครดิตในพื้นที่เกษตร/ป่าไม้ และดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) สำหรับการให้บริการด้านความปลอดภัยทางทะเล เป็นต้น
2.การขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยบริษัทในไทยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอินเดียให้บริการช่องสัญญาณดาวเทียม ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการให้บริการในประเทศที่ยังมีช่องว่างในการเติบโตของตลาด
3.ในปี 2568 จะมีดาวเทียมพร้อมเปิดให้บริการใหม่ ซึ่งรวมถึงการเปิดให้บริการดาวเทียม LEO สำหรับอินเทอร์เน็ตผ่านการใช้ช่องสัญญาณจากดาวเทียมต่างชาติ โดย LEO มีข้อได้เปรียบสำคัญในด้านความเร็วที่ใกล้เคียงกับอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน ปัจจุบันถึงแม้ว่าธุรกิจดาวเทียมจะมีการท้าทายในการฟื้นฟูรายได้ให้กลับมาใกล้เคียงอดีต แต่คาดในระยะยาวจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนขึ้น เนื่องจากต้นทุนการยิงดาวเทียมลดลงอย่างมาก ด้วยเทคโนโลยีจรวดใช้ซ้ำได้ของ SpaceX ที่ช่วยลดต้นทุนจากระดับพันล้านบาทเหลือหลักร้อยล้านบาท ซึ่งจะกระตุ้นการลงทุนดาวเทียมดวงใหม่ และส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมดาวเทียม
ด้านความเสี่ยงของธุรกิจอินเทอร์เน็ตนั้น อินเทอร์เน็ตประจำที่อาจถูกแทนที่ด้วยอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ ทำให้ธุรกิจอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินเผชิญกับแนวโน้มรายได้ที่ลดลง เนื่องจากลูกค้าบางส่วนอาจเลือกลดค่าใช้จ่ายโดยยกเลิกการใช้งานอินเทอร์เน็ตประจำที่ และหันไปใช้อินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่แทน
ดาวเทียม LEO อาจกลายเป็นตัวท้าทายหลักต่ออินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน เนื่องจากมีคุณภาพการสื่อสารที่ใกล้เคียงกัน และหากค่าบริการของ LEO ลดลงจนเทียบเท่าหรือต่ำกว่าอินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน จะทำให้ LEO กลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่สามารถแทนที่อินเทอร์เน็ตภาคพื้นดินได้
การให้บริการอินเทอร์เน็ตและดาวเทียม อาศัยการประมูลคลื่นความถี่และใบอนุญาตใช้วงโคจรดาวเทียมที่จัดโดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งการจัดสรรคลื่นความถี่และวงโคจรดาวเทียมนั้นกำหนดขีดความสามารถในการให้บริการของผู้ประกอบการ อีกทั้งหากประมูลไม่สำเร็จก็จะกระทบต่อการให้บริการได้ นอกจากนี้สำหรับธุรกิจดาวเทียมยังต้องมีการรักษาสิทธิเข้าใช้วงโคจรกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) อีกด้วย
รายได้จากธุรกิจดาวเทียมสื่อสารจากต่างประเทศอาจมีความผันผวนสูงเนื่องจากความไม่แน่นอนของค่าเงิน ซึ่งส่งผลต่อรายได้เมื่อแปลงกลับเป็นสกุลเงินไทย
บทสรุปคือ ในปี 2568 รายได้ตลาดอินเทอร์เน็ตผู้บริโภค (B2C) จะเติบโต 1.6% จากการขยายตัวของอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ 2.7% และการหดตัวของอินเทอร์เน็ตประจำที่ 2.0% ขณะที่ตลาดอินเทอร์เน็ตองค์กร (B2B) จะเติบโต 5.1% สำหรับธุรกิจดาวเทียมสื่อสาร จะมีการเติบโตของรายได้ราว 5.0% จากการที่มีดาวเทียมเปิดใช้งานเพิ่มขึ้น และการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอินเทอร์เน็ตและดาวเทียมสื่อสารในไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านรายได้ ทำให้ต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มรายได้และรักษาความสามารถในการแข่งขัน สำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ต มีการเสนอแพ็กเกจพ่วงและบริการเสริม ส่วนธุรกิจดาวเทียมสื่อสาร ได้มีการลงทุนในโมเดลธุรกิจดาวเทียมแบบใหม่ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป