มอง SET มีโอกาสฟื้นตัว แต่มีแนวต้านที่ 1300 จุด

InnovestX มองว่า รายงานการประชุมของ Fed สะท้อนความกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อจากนโยบายภาษีนำเข้า จึงระบุว่าต้องเห็นการชะลอตัวของเงินเฟ้อที่ชัดเจนก่อนพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม


InnovestX มองว่า รายงานการประชุมของ Fed สะท้อนความกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อจากนโยบายภาษีนำเข้า จึงระบุว่าต้องเห็นการชะลอตัวของเงินเฟ้อที่ชัดเจนก่อนพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ท่ามกลางผลสำรวจความคาดหวังด้านเงินเฟ้อ 1 ปีข้างหน้าของผู้บริโภคอยู่ที่ 4.3% สูงขึ้น 1.7% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนั้น การที่ Fed ระบุว่าจะจับตาการเจรจาเพดานหนี้ บ่งชี้ว่า Fed กำลังกังวลว่าการก่อหนี้ที่สูงขึ้น จะทำให้การขาดดุลการคลังและผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น กระทบกับสภาพคล่อง ทำให้ Fed อาจต้องพิจารณาชะลอการลดขนาดงบดุล (QT) InnovestX จึงมองว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งในปี 2025 และอาจลดระดับ QT จากปัจจุบันที่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน ลงอีกในไม่ช้า

ด้านเศรษฐกิจไทย 4Q67 ขยายตัว 3.2% YoY และ 0.4% QoQ ต่ำกว่าที่ตลาดคาด จากการหดตัวของสินค้าคงคลัง การลงทุนภาคเอกชน การบริโภคสินค้าคงทน และการหดตัวของการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมทุนและเทคโนโลยี ผลจากสภาพคล่องที่ตึงตัว และการทุ่มตลาดจากจีน InnovestX มองว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.5% ต่ำกว่าสภาพัฒน์ฯ มองที่ 2.8% โดยจะเผชิญ 4 ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ (1) มาตรการ reciprocal tariffs ของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบ GDP ไทยถึง 0.5-0.6% (2) การแข่งขันรุนแรงจากจีนที่ทำให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 ล้านล้านบาท (3) ความเข้มงวดของสถาบันการเงินท่ามกลาง NPLs และ SMLs ที่สูง และ (4) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น

ส่วนตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัวแต่ Upside จำกัด โดยมีแนวต้านที่บริเวณ 1,300 จุด โดยประเมินว่าปัจจัยมหภาคจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยเป็นผลจากดัชนี PCE มีแนวโน้มชะลอตัวลงเหลือ 2.5% ซึ่งจะไม่กดดันให้เฟดเปลี่ยนท่าทีต่อนโยบายการเงิน และ PMI ภาคการผลิตและบริการของจีนมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างช้า ๆ ขณะที่ ธปท. ยังคงมุมมองที่จะคงดอกเบี้ยที่ 2.25% ซึ่งตลาดก็รับรู้และสะท้อนในราคาแล้วระดับหนึ่ง นอกจากนั้นแนวโน้มผลประกอบการ 1Q68 น่าจะบ่งชี้ว่ากำไรของตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้วในช่วง 2H67 ทำให้มองว่า กระแสเงินจากต่างชาติมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น รวมไปถึงมาตรการของ ตลท. ต่อการสร้างความเชื่อมั่นน่าจะช่วยให้ตลาดคลายความกังวลในระดับหนึ่ง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้

1. หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นสะท้อนกำไร 4Q67-1Q68 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC, TRUE, AMATA, TIDLOR, MTC, AU และ  HTC 

2. หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน โดยคัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุนและมองมี Downside Risk จำกัด เนื่องจากมีจุดแข็ง ดังนี้ 1) ปี 2568 คาดกำไรยังมั่นคงและสามารถเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง สภาพคล่องทางการเงินสูง อีกทั้งมองมีโอกาสซื้อหุ้นคืน หลังมี PBV < 1 เท่า 3) Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขาย PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD และ 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 5% ซึ่งพบว่า มี 5 หุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ BCP, AP, PTT, TU และ SPALI

3. หุ้น Dividend Play สำหรับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นปันผลสูงซึ่งคาดมีเงินปันผลจ่ายที่เหลือจากกำไรปี 2567 คิดเป็น Div. Yield เกิน 3% เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุน แนะนำ AP, KTB, BBL และ PTT

4. Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไร 1) หุ้นที่คาดสัปดาห์หน้าจะประกาศงบ 4Q67 กำไรเติบโต YoY และ QoQ แนะนำ CPALL, HMPRO, BTG, ERW, AU, KLINIQ และ 2) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์เม็ดเงินไหลเข้าจาก MSCI Rebalance ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ราคาปิดวันที่ 28 ก.พ. 68 แนะนำ หุ้นที่จะเข้า MSCI Global Small Cap อย่าง GPSC, SCGP ขณะที่ระมัดระวังหุ้นอย่าง PTTGC, TOP ที่ออกจาก MSCI Global standard แม้จะเข้า MSCI Global Small Cap ก็ตาม

สุกิจ อุดมศิริกุล

Back to top button