
กองทุน-ต่างชาติ..ลวงตา
ข้อมูลที่ “โมนิก้า” ใช้ประกอบการวิจารณ์ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน เพราะแค่ประมวลภาพจากการซื้อของนักลงทุนกลุ่มที่เป็น “ต่างชาติ” กับ “กองทุน”
ข้อมูลที่ “โมนิก้า” ใช้ประกอบการวิจารณ์ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน เพราะแค่ประมวลภาพจากการซื้อของนักลงทุนกลุ่มที่เป็น “ต่างชาติ” กับ “กองทุน” ก็จะเห็นความไม่ปกติของตลาดหุ้นได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะท่าทีซื้อ ๆ ขาย ๆ พร้อมกับพร่ำบอกหุ้นไทยยังน่าลงทุน ก็เป็นภาพที่ขัดแย้งกับพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน เดี๊ยนจึงไม่สามารถไว้ใจการขึ้นของดัชนีได้จริง ๆ พะย่ะค่ะ
ที่น่าสนใจคือ ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยลงแรงทีไร มักเห็นต่างชาติขายนำเป็นประจำ ขณะที่กองทุนก็ชอบลักไก่ทีเผลอด้วยเช่นกัน ผลสุดท้ายเลยกลายเป็นแมงเม่าที่ช่วยพยุงตลาด ซึ่งเห็นได้จากยอดซื้อสุทธิตั้งแต่ต้นปี 68 ปาเข้าไป 1.65 หมื่นล้าน “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับช่วยประเมินการยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,246.21 จุด บวกไป 0.60 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.84 หมื่นล้านบาท มันใช่จุดกลับตัวอย่างบูรณาการของตลาดหุ้นไทยอ๊ะป่าว?
นอกจากนี้ก็อยากให้แฟนคลับนึกย้อนไปถึงเรื่องกองทุนนกที่หลายคนเชื่อว่าจะเข้ามาช่วยประคองตลาดหุ้นไทย แต่สุดท้ายระดมเงินเพื่อลงทุนหุ้นไทยได้กระจิริด มันทำให้หลายคนเสียเซลฟ์แบบนี้ มันทำให้เดี๊ยนนึกถึงการโยกเงินจากกองทุน LTF ไปที่กองทุน TESG มันจะเวิร์กจริงเหรอ? และสาเหตุที่ทำให้อีฉันรู้สึกเช่นนั้นก็คือ รูปแบบของกองทุนยังไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่าง..แล้วมันจะตรงปกไหม?..ช่วยตอบเดี๊ยนหน่อยค่ะ
ขนาดหุ้นอาหารที่ทำผลงานได้คงเส้นคงวาอย่าง NSL ยังไม่มีคนเข้ามาเล่นอย่างที่ควรจะเป็น และปล่อยให้ราคาหุ้นลอยเท้งเต้ง พร้อมกับยืนปิดที่ระดับ 27.25 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 0.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 18 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 16.30 เท่า แบบนี้..คุณ ๆ ท่าน ๆ มองว่า สมเหตุสมผลขนาดไหน? และหุ้นตัวนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า แรงซื้อไม่กระจายตัว และตลาดผูกติดกับหุ้นเพียงไม่กี่ตัวนะจ๊ะ
ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น TRUE ขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่เห็นคือ ปี 67 ขาดทุนเหลือหมื่นล้าน ขณะที่ปี 66 ขาดทุนหมื่นสี่พันล้าน แต่พวกสถาบันก็ยังเข้าเล่น เพราะเชื่อว่า ปี 68 น่าจะพลิกกำไร ก็เป็นภาพที่ย้ำให้เห็นว่า สิ่งที่คิดอาจไม่เป็นเหมือนกับเรื่องจริง และการที่หุ้นขึ้นมายืนปิดเสมอตัวอยู่ที่ระดับ 12.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.70 พันล้านบาท ก็มาจากผู้รู้สำนักต่าง ๆ ยังให้แวลูไงล่ะคะ
ในเมื่อผู้คนมองเรื่องคุณค่าของหุ้นเป็นเรื่องสำคัญ “โมนิก้า” จึงอยากเอ่ยถึงหุ้น BCP เพื่อชี้ให้เห็นแรงขายที่ออกมาอีกครั้ง ก็มาจากผลงานที่ทรุดฮวบจนนักเล่นกังวลอย่างแรง เพราะเมื่อเจาะไส้ในลงไปจะเห็นว่า รายได้เพิ่มขึ้นถึง 53% แต่ต้นทุนก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่โชคดีที่มีกำไรพิเศษเข้ามา จึงมีกำไรออกมาโชว์ (ไม่งั้นเกือบขาดทุน) เดี๊ยนถึงมองการยืนปิดที่ระดับ 35.75 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.20 พันล้านบาท ยังเสี่ยงจ้า!
เมาท์ถึงความเสี่ยงขึ้นมาทั้งที ต้องมีชื่อของหุ้นมะพร้าวน้ำหอม COCOCO เข้ามาร่วมแจมด้วยแน่นอน เพราะแรงขายที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ ล้วนมาจากกำไรไตรมาส 4 ปี 67 ออกมาต่ำกว่าคาด ทั้งที่ภาพรวมปี 67 กำไรโตถึง 27% “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักลงทุนประเมินการยืนปิดที่ระดับ 8.65 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 2.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 206 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 16 เท่า และยังให้ยีลด์ 4% น่าสนใจไหมจ๊ะ
คิดดูสิ!..ขนาดหุ้นโรงเรียนของหนู SISB ทำกำไรโตทุกปี และปี 67 ก็โตดีเหลือเกิน แต่ไม่วายถูกขายทิ้งแบบไม่มีเยื่อใย จนราคาหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 22.90 บาท ลบไป 1.40 บาท หรือลงไป 5.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 227 ล้านบาท กลายเป็นช็อตที่ทำให้ “โมนิก้า” ปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างแรง เพราะนักลงทุนไม่เห็นความสำคัญของการเติบโตอย่างมั่นคงแบบนี้ อีฉันไม่รู้จริง ๆ ว่า กองทุนกับฝรั่งคิดอะไรกันอยู่เจ้าค่ะ
เช่นเดียวกับแรงขายที่สาดใส่หุ้น BEM จนราคาหุ้นซึมลงเรื่อย ๆ ก่อนประคองตัวปิดเสมอตัวที่ระดับ 6.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74 ล้านบาท ก็เป็นภาพที่ “โมนิก้า” ไม่เข้าใจอย่างแรง เพราะเมื่อนำกำไรปี 65 ที่อยู่ในระดับ 2.43 พันล้าน มาเทียบกับกำไร 9 เดือน ปี 67 ที่ระดับ 2.91 พันล้าน อีฉันก็เชื่อว่า ราคาหุ้นควรดีกว่าปี 66 ที่อยู่ในระดับ 7.95 บาท ไม่ใช่เหรอ..หรือว่า อีฉันประเมินอะไรผิดไปคะ
โมนิก้า: และทีมงาน