
‘สิงค์โปร์’ กระตุ้นเศรษฐกิจ (อีกครั้ง)
รัฐบาลสิงคโปร์ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “ลอว์เรนซ์ หว่อง” ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายประการทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจสำหรับปี 2568
รัฐบาลสิงคโปร์ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “ลอว์เรนซ์ หว่อง” ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายประการทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจสำหรับปี 2568 รวมถึงคูปองและการลดหย่อนภาษี
มาตรการเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น หลังจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนและการหยุดชะงักห่วงโซ่พลังงาน อาหารและอุปทาน โดยหนึ่งในมาตรการที่ออกมา รวมถึงการแจกคูปอง เพื่อการบริโภคและส่วนลดค่าสาธารณูปโภคสำหรับครัวเรือน โดยแต่ละครัวเรือนจะได้รับคูปอง มูลค่า 800 ดอลลาร์สิงคโปร์
นอกจากนี้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันครบรอบ 60 ปี แห่งเอกราชของสิงคโปร์ โดยชาวสิงคโปร์ทุกคนที่มีอายุเกิน 21 ปี จะได้รับคูปองเพิ่มเติมเป็นมูลค่า 600 ดอลลาร์สิงคโปร์ช่วงเดือนก.ค. 68 ส่วนผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีจะได้รับ 800 ดอลลาร์สิงคโปร์
เท่านั้นไม่พอมีการประกาศการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 60% สำหรับปีภาษี 2568 โดยมีเพดาน 200 ดอลลาร์สิงคโปร์
สำหรับภาคธุรกิจ มีการประกาศคืนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% สำหรับบริษัท โดยมีขั้นต่ำ 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ และเพดาน 40,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ โดยรัฐบาลจะเพิ่มระดับการร่วมสนับสนุนทางการเงิน สำหรับบริษัทที่ขึ้นเงินเดือนให้แก่แรงงานที่มีรายได้ต่ำ
ก่อนที่จะมีการประกาศแผนสนับสนุนดังกล่าว
นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ระบุว่า ภาษีสินค้าและบริการที่สูงขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจเติบโตช่วงปีก่อน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น อาจทำให้งบประมาณเกินดุลปีงบประมาณที่จะสิ้นสุดเดือนมี.ค. 68 สูงเกินคาดและทำให้รัฐบาล สามารถส่งเงินสนับสนุนทางสังคมมากขึ้น
งบประมาณมากขึ้นอาจช่วยค้ำจุนการซื้อขายที่สำคัญต่อเศรษฐกิจสิงค์โปร์ หลังต้องเผชิญหน้าจากการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โดยหน่วยงานรัฐบาล ประเมินว่าปีนี้การเติบโตจะเพิ่มขึ้น 1-3% ต่ำกว่า 4.4% ช่วงปี 2567
นักเศรษฐศาสตร์จากเมย์แบงก์ ระบุว่า จากงบประมาณการเลือกตั้ง สถานะนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายและการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงโครงการจากภาคเอกชน จะเป็นตัวช่วยผ่อนคลายผลกระทบ จากความไม่แน่นอนและปัจจัยลบจากสงครามการค้าได้
ส่วนภาคธุรกิจ บริษัทต่าง ๆ กำลังรอความช่วยเหลือ ขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับต้นทุนการดำเนินงาน ที่ยังคงสูงอยู่ ตามผลสำรวจของ United Overseas Bank Ltd. (UOB) ธุรกิจกว่าครึ่งอยากให้งบประมาณปี 2568 มาช่วยรับมือภาวะเงินเฟ้อ ถือเป็นปัญหาหลักของเศรษฐกิจมหภาค
โดย 37% จาก 900 บริษัทชี้ว่า เศรษฐกิจมหภาคทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการสูงขึ้น ขณะที่อีก 29% ชี้ว่าต้องทำการลดต้นทุน แม้เศรษฐกิจของประเทศสิงคโปร์จะเติบโตมากกว่า 4% ช่วงปี 2567 แต่จะเป็นการยากที่จะบรรลุระดับการเติบโตดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
“การแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก กำลังทวีความรุนแรงขึ้น หากสิงค์โปร์ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
แหละนี่คือสิ่งที่ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” ตระหนักและต้องเผชิญหน้าต่อไป..!!