ข่าวร้ายรุมเร้า

ในที่สุดสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยก็เละเทะเหมือนที่อีฉันเคยกังวลก่อนหน้านี้ แถมการลงเที่ยวนี้เป็นการทำโลว์ใหม่ให้เห็นเต็มสองลูกตา


ในที่สุดสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยก็เละเทะเหมือนที่อีฉันเคยกังวลก่อนหน้านี้ แถมการลงเที่ยวนี้เป็นการทำโลว์ใหม่ให้เห็นเต็มสองลูกตา จึงเหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดว่า ดัชนีมีโอกาสลงไปต่ำกว่าระดับ 1,200 จุดในไม่ช้า เพราะมันไม่มีเรื่องไหนเข้ามาจรรโลงจิตใจเลยสักอย่าง ผนวกกับบรรยากาศการเมืองของประเทศไทยก็โหลยโท่ยสุด ๆ อีฉันเลยไม่รู้ตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นกี่โมงนะตัวเอง

สำหรับสาเหตุที่ “โมนิก้า” ต้องรีบลุกจากที่นอนขึ้นมาจวกหนักรัฐบาลแบบไม่ไว้หน้า ก็มาจากการบ้าน้ำลายได้ตลอดเวลา (สมัยลุงป้อม ก็ล้อเลียนกันสนุกสนาน ไม่รู้..ไม่รู้) แต่สมัยนี้ก็พูดเป็นอย่างเดียวคือ “ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการ” ซึ่งไม่ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นสักทีแบบนี้..อีฉันถึงมีอาการเบื่อหน่ายพวกรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมราคาข้าวของก็แพงขึ้น แต่รายได้กลับเท่าเดิม..ตายหยังเขียดสิคะ

ที่สำคัญคือ วันก่อนที่ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงไปถึง 748 จุด และเป็นการปรับตัวลงแรง 2 วันติด ก็มาจากตัวเลขภาคบริการ (PMI) เดือนที่ผ่านมาต่ำกว่า 50% ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของอเมริกากำลังเผชิญกับภาวะหดตัว และเงินเฟ้อมีโอกาสจะพุ่งขึ้นแบบนี้ “โมนิก้า” ก็กล้าพูดทันทีว่า หุ้นทั่วโลกจะโดนขายอีกเป็นระลอกอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่เห็นตอนนี้มีแต่ปัญหาเยอะแยะไปหมดน่ะซี

ฉะนั้นการที่ดัชนีไทยทรุดตัวลงไปทำโลว์ที่ระดับ 1,227.42 จุด โดยเมื่อวันจันทร์ก่อนทำโลว์ไว้ที่ระดับ 1,236.80 จุด มันเป็นพัฒนาการที่ถอยหลังโดยไม่ต้องให้ใครมาอธิบายเพิ่มเติม อีฉันจึงไม่สามารถพูดถึงการยืนปิดที่ระดับ 1,235.85 จุด ลบไป 10.36 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.22 หมื่นล้านบาท คือโอกาสทองของการเข้าซื้อรอบใหม่! เพราะในช่วงที่ผ่านมาแมงเม่าเจ็บตัวกันมาตั้งเท่าไหร่แล้ว..คุณ ๆ ท่าน ๆ น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะคะ

ขนาดหุ้นลูกอ๊อด AOT ยังถูกถล่มขายรอบใหม่ ทั้งที่ราคาหุ้นซึมซับข่าวร้ายมาพอสมควร แต่วานนี้กลับไหลรูดลงมากองอยู่ที่ระดับ 42 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 3.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.79 พันล้านบาทแบบนี้ “โมนิก้า” พูดได้เลยว่า ยังมีราคาต่ำกว่าให้เห็นอย่างแน่นอน เพราะลูกหนี้รายใหญ่อย่างคิง เพาเวอร์ยังแก้ปัญหาชีวิตตัวเองไม่ได้ แล้วเจ้าหนี้จะทำอะไรได้เหรอคุณพี่!

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น WHA ภายใต้การนำพาของ “เจ๊จูน” เป็นรายถัดมา เพราะการร่วงลงมาปิดที่ระดับ 3.70 บาท ลบไป 0.90 บาท หรือลงไป 19.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.83 พันล้านบาท ก็มาจากอาการผิดหวังกำไรปี 67 ไม่โตอย่างที่คิด และสิ่งที่น่าคิดถัดมาก็คือ กำไรไตรมาส 4 ปี 67 ก็ดันทรุดฮวบเสียด้วย บรรดากองทุนเลยพากันเชื่อว่า นี่เป็นจังหวะขายเพื่อเอาตัวรอดพะย่ะค่ะ

ส่วนหุ้นร้อนที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่าง BCP กลับสามารถบวกสวนหน้าตาเฉย ทั้งที่ตอนนี้สังคมกำลังเพ่งเล็งไปที่กองทุน “แคปปิตอล เอเชีย” กับ “ประกันสังคม” แบบไม่กะพริบตา หลังมีกระแสข่าวไปพัวพันการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ และกำลังโดนหลายฝ่ายขุดคุ้ยความผิดปกติแบบนี้ เดี๊ยนขอนับถือใจคนที่เล่นหุ้นตัวนี้จริง ๆ เพราะของมันเห็นชัดเจนไม่โต แต่ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นมาปิดที่ 37.25 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 4.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.02 พันล้านบาทแบบนี้..แสดงว่า ข่าวลือกองทุนซื้อหุ้นจากประกันสังคม และจะทำเทนเดอร์ฯ มีผลมากกว่านะจ๊ะ

ในเมื่อพูดถึงเรื่องร้อน ๆ ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอเม้าท์ถึงหุ้น ONEE เป็นรายถัดมา เพราะการร่วงลงมาปิดที่ระดับ2.86 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 9.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 32 ล้านบาท พร้อมกับทำ all time low ท่ามกลางกำไรไตรมาส 4 ปี 67 ลดฮวบ และฉุดกำไรงบปี 67 ลด 17% มันเป็นภาพสะท้อนธุรกิจบันเทิงกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยได้เป็นอย่างดี และมีความเป็นไปได้ที่กำไรจะลดลงอีก เพราะโดนแพลตฟอร์มอื่นตียับเจ้าค่ะ

ส่วนรายที่แปลกสุด ๆ ในสายตา “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น NCAP หลังทะยานขึ้นต่อเนื่อง ทั้งที่กำไรปี 67 ไม่โต และอัตราเงินปันผลตอบแทนก็ไม่ปังเท่าที่ควร อีฉันเลยประเมินไม่ถูกว่า การขึ้นมาปิดที่ระดับ 1.74 บาท บวกไป 0.26 บาท หรือขึ้นไป 17.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 103 ล้านบาท มาจากเรื่องอะไรกันแน่ เพราะเมื่อประมวลผลจากมุมต่าง ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ..หรืออีฉันตกประเด็นอะไรไป ก็ช่วยกระซิบบอกหน่อยนะจ๊ะ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button