TTW เติมพอร์ตหุ้นเขื่อน.!

หลังจาก บมจ.ทีทีดับบลิว หรือ TTW ปิดจ๊อบความกังวลเรื่องที่บริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด (PTW) ซึ่งเป็นบริษัทลูก หมดสัญญากับการประปาส่วนภูมิภาค


หลังจากบริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ปิดจ๊อบความกังวลเรื่องที่บริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด (PTW) ซึ่งเป็นบริษัทลูก หมดสัญญากับการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในการดำเนินการผลิตและจำหน่ายน้ำประปาเพื่อใช้ในพื้นที่สำนักงานประปารังสิต ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. 2566

ก็ชัดเจนแล้วว่า PTW ได้ต่อสัญญากับกปภ. โดยว่าจ้างให้บริหารจัดการน้ำประปาและบำรุงรักษาระบบผลิตน้ำประปา โรงผลิตน้ำประปาปทุมธานี เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลนในพื้นที่กปภ.สาขาปทุมธานี กปภ.สาขารังสิต (ชั้นพิเศษ) และกปภ.สาขาคลองหลวง เป็นระยะเวลา 10 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 2566 เป็นต้นไป…

จากนั้นมาข่าวสารของ TTW ก็เงียบเป็นป่าสาก…เพิ่งจะมีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก็กรณีเตรียมจะเติมหุ้นเขื่อน..!! ด้วยการไปซื้อหุ้นบริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ (LPCL) ในสัดส่วน 10% จากแม่บังเกิดเกล้า บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK คิดเป็นมูลค่ารวม 4,597.43 ล้านบาท

แต่การซื้อหุ้น 10% ใน LPCL…TTW ไม่ได้ชำระเป็นเงินสดทั้งก้อนในคราวเดียวกันหรอกนะ จะใช้วิธีแบ่งจ่ายเป็น 2 สเต็ป…สเต็ปแรกจะชำระเป็นเงินสดให้กับ CK จำนวน 2,765.12 ล้านบาท โดยคาดจะโอนหุ้นแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 2568

ส่วนอีกสเต็ปจะเป็นการชำระเงินเพิ่มทุนของ LPCL ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำหลวงพระบาง (LPHPP) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 1,832.31 ล้านบาท โดยการชำระค่าหุ้นจะทยอยเรียกเก็บจากผู้ถือหุ้นทุกรายพร้อมกันเป็นคราว ๆ ตามความต้องการใช้เงินของ LPCL

ขณะเดียวกัน TTW อาจจะต้องใส่เงินเพิ่มทุนเพิ่มเติม หากกระแสเงินสดรับจากการขายไฟฟ้าในช่วงระยะเวลาทดสอบการเดินเครื่องต่ำกว่าประมาณการ ซึ่งตามสัดส่วนการถือหุ้น 10% ต้องใส่เงินราว 117.56 ล้านบาท รวมทั้งต้องให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ LPCL ในรูปแบบการให้กู้ยืมเงินระยะยาวในกรณีที่โครงการ LPHPP มีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการสูงกว่าที่ประมาณการ ในวงเงินรวมไม่เกิน 11,000 ล้านบาท

โครงการ LPHPP ตั้งอยู่ที่แขวงหลวงพระบาง สปป.ลาว โดยเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่านตลอดปี (Run-of-River) ที่ไม่มีการกักเก็บน้ำ โดยใช้พลังงานจากการไหลของน้ำตามธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,460 เมกะวัตต์ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยประมาณปีละ 6,688 ล้านหน่วย และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดให้แก่กฟผ. ตลอดระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี นับจากวันที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (ต้นเดือน ม.ค. 2573)

โดยมีบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 50%, CK ถือหุ้น 20%, Gulf Hydropower Holdings Pte.Ltd. (GHH) ถือหุ้น 20% และบริษัท พีที จำกัดผู้เดียว (PTS) ถือหุ้น 10%

การซื้อหุ้น 10% ใน LPCL จึงถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของ TTW ก็ว่าได้…

ซึ่งด้วยศักยภาพของ TTW ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะถ้าดูสถานะการเงินถือว่าแข็งแกร่ง มีสินทรัพย์รวม 20,200.64 ล้านบาท และมีหนี้สินรวมแค่ 4,489.78 ล้านบาท โดยในแต่ละปีจะปั๊มกำไรได้เกือบ 3,000 ล้านบาท จนปัจจุบันมีกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรอยู่ที่ 7,662.97 ล้านบาท…

มิน่าล่ะ ถึงสามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ แถมดิวิเดนด์ยีลด์ก็สูงเฉลี่ย 5-6% ต่อปีเลยทีเดียว…

โอเค…ถ้ามองระยะสั้น ธุรกรรมนี้เป็นการช่วยแม่ CK แหละ…ใคร ๆ ก็ดูออก

แต่ถ้ามองระยะยาว จะทำให้ TTW จากเดิมที่พึ่งพารายได้จากธุรกิจน้ำประปาเป็นหลัก และมีเงินลงทุนในบริษัทอื่นเป็นตัวเสริม ก็จะมีขางอกขึ้นมาอีกขา จากการถือหุ้นโดยตรงใน LPCL ซึ่งจะเป็น Recurring Income หรือรายได้ประจำ

แต่ TTW อาจต้องรอโน่น ในปี 2573 ซึ่งโครงการจะเริ่ม COD สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้…แต่ที่ไม่ต้องรอ คงเป็น CK ซึ่งจะได้เงินสดเข้ากระเป๋าก่อนเลย 2,765.12 ล้านบาท มาเติมสภาพคล่อง นำไปชำระหนี้ ไปลงทุน หรือขยายกิจการ…ก็ว่ากันไป

ถัดมาหากไม่มีการแบ่งขายหุ้น 10% ให้กับ TTWCK จะต้องเพิ่มทุนใน LPCL ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 20% แต่เมื่อขายหุ้นไปแล้ว 10% เงินเพิ่มทุนก็จะหายไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน

ก็เป็นความชาญฉลาดของ CK ที่ดึงลูกมาช่วยใส่เงินเพิ่มทุนแทนตัวเอง…

แล้วต่อให้ CK ขายหุ้น LPCL ไปแล้ว ก็ยังได้รับผลประโยชน์สูงสุดจาก LPCL ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ผ่านการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ดี…

แหม๊…เป็นธุรกรรมที่ถูกออกแบบให้ CK ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องนะเนี่ย…

…อิ อิ อิ…

Back to top button