เซอร์ไพรส์อันเป็นคุณ

คงไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความหรอกนะครับว่า ตลาดหุ้น สดใสเบิกบานขนาดไหน เมื่อ กนง.ลงมติ 6:1 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.0% ถ้วน


คงไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความหรอกนะครับว่า ตลาดหุ้น สดใสเบิกบานขนาดไหน เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง.ลงมติ 6:1 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.0% ถ้วน ซึ่งหลังจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ก็คงจะปรับอัตราดอกเบี้ยลงให้ลูกค้ากันตามสมควร

ขอบอกว่า มันเป็นเซอร์ไพรส์ อันไม่นึกไม่ฝันเลยทีเดียวว่า แบงก์ชาติจะตัดสินใจอะไรได้ตรงใจประชาชนส่วนใหญ่มากเท่ากับครั้งนี้

สรยุทธ สุทัศนะจินดา หยิบข่าวรัฐบาลถึงกับออกเป็นมติครม.ส่งไปยังผู้ว่าการธปท.ให้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก่อนหน้าการประชุมกนง.เพียง 1 วัน พร้อมทั้งยังแซวอีกว่า อย่างนี้ แบงก์ชาติต้องไม่ลดดอกเบี้ยแน่ เพราะหากรัฐบาลบอกให้ไปขวา แบงก์ชาติก็จะไปซ้าย เป็นเช่นนี้ตลอดมา

แต่แล้วก็เซอร์ไพรส์ แต่ก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีงาม!

ผมเอง ก็ได้เขียนบทความ “ลดดอกเบี้ย ฟื้นเศรษฐกิจ” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แสดงข้อกังขาว่า การที่เงินเฟ้อต่ำขนาดนี้ถึง 0.40% แสดงว่า เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรงแล้ว การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ และลดต้นทุนผู้ประกอบการ ก็ควรจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ไม่ใช่ข้ออ้างนามธรรมยันเตของแบงก์ชาติว่า ต้อง “เก็บกระสุน” ไว้ใช้ยามจำเป็นกว่านี้

คำว่า “กระสุน” ของแบงก์ชาติน่ะ มันคืออะไรครับ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีแล้ว ก็ว่าไปอย่าง จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อเบรกความร้อนแรง ย่อมทำได้ ไม่ว่ากัน แต่นี่มันเศรษฐกิจติดหล่มลึก แห้งแล้งกันดาร

คุณไม่ลดดอกเบี้ยตอนนี้ แล้วคุณจะไปลดตอนไหน ทีตอนคุณปรับขึ้นดอกเบี้ย 8 ครั้งติด ยังทำได้เลยนี่

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ค่ายฟินันเซีย ไซรัส ประเมินว่า สำหรับสินเชื่อบ้านแล้ว การปรับลดดอกเบี้ยทุก ๆ 0.25% จะช่วยลดเงินผ่อนค่างวดต่อเดือนราว 2% และทางฝั่งผู้ประกอบการก็จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินลงด้วย

อย่างไรก็ตาม โฆษกกนง. คุณสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ท่านก็ได้แถลงเหตุผลการลงมติท่วมท้นให้ลดดอกเบี้ยคราวนี้ก็เพราะ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงกว่าที่เคยมีการประเมินเอาไว้ที่ 2.9% ในปี 2568 แต่ก็ได้เน้นย้ำว่า การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ไม่ใช่ “วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง”

แปลไทยเป็นไทยอีกที ท่านโฆษกก็คงต้องการตอกย้ำว่า คงจะไม่มีการลดดอกเบี้ยครั้งต่อ ๆ ไปอีกในเร็ววันนี้

แต่ผมว่า การจะลดดอกเบี้ยอีกหรือไม่ คงมิได้มีข้อจำกัดตายตัวในเรื่อง “จำนวนครั้ง” นะ มันน่าจะขึ้นอยู่กับว่า เศรษฐกิจยังติดหลุมลึกเพียงใด หากยังไม่ดีขึ้น จะลดดอกเบี้ยครั้งต่อ ๆ ไป ก็ไม่น่าจะแปลก

ปัญหาเฉพาะหน้าในเวลานี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ปัญหาอุปทานอสังหาริมทรัพย์ที่ล้นเกินจากปีที่แล้วมา 9 แสนล้านบาท แต่บัดนี้ล้นเกินบานปลายมาเป็น 1.4 ล้านล้านบาทแล้ว แบงก์ชาติจะพิจารณาผ่อนปรนเรื่อง LTV หรือจะหาทางร่วมมือกับรัฐบาลในการแปรสินค้าคงค้างให้เป็นบ้านประชาชนราคาถูกอย่างไร

ผมว่า ปัญหายังมีให้ทำอีกเยอะนะ ไม่ใช่ห่วงกังวลอยู่แต่เรื่องจะต้องลดดอกเบี้ยอีกหรือไม่เท่านั้น

ชาญชัย สงวนวงศ์

Back to top button