พาราสาวะถี

หากจะมองประเด็นการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีน เป็นเรื่องการดิสเครดิตของรัฐบาลด้านสิทธิมนุษยชน และหวังผลทางการเมืองคงไม่ผิดนัก


หากจะมองประเด็นการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีน เป็นเรื่องการดิสเครดิตของรัฐบาลด้านสิทธิมนุษยชน และหวังผลทางการเมืองคงไม่ผิดนัก ทั้งที่ความเป็นจริงกรณีนี้ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อน หากทุกอย่างว่ากันไปตามตัวบทกฎหมาย ปมที่ทำให้บรรดานักสิทธิมนุษยชนทั้งหลายต่างออกมาตั้งข้อสังเกตต่าง ๆ นานา นั่นเป็นเพราะประเทศต้นทางที่จะส่งกลับคือจีน แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจถือเป็นการทำตามกติกาทุกประการ

ความจริงก็เป็นอย่างที่สถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้โพสต์ข้อความชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กของสถานทูต ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายถือเป็นอาชญากรรมที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ การส่งตัวผู้ที่ลักลอบอพยพและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศตามกฎหมายถือเป็นการบังคับใช้กฎหมายปกติของประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย ชาวจีนที่ถูกส่งตัวกลับในครั้งนี้เป็นผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองไทยโดยผิดกฎหมายไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ตามคำขอของรัฐบาลจีน

รัฐบาลไทยได้ส่งคนเหล่านี้กลับประเทศจีนตามกฎหมาย ถือเป็นความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างจีนและไทยในการปราบปรามผู้ลักลอบอพยพและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งมีหลักฐานที่เพียงพอตามกฎหมายระหว่างประเทศและสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน ประเทศใหญ่บางประเทศได้กดดันองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ให้กล่าวหาความร่วมมือตามปกติในการปราบปรามผู้ลักลอบอพยพและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของรัฐบาลจีนและไทย ขณะที่ประเทศนั้นก็ได้ส่งผู้ลักลอบอพยพโดยผิดกฎหมายกลับประเทศมากกว่า 270,000 คนในปีงบประมาณ 2567

คงไม่ต้องบอกว่าหมายถึงประเทศใด การกระทำลักษณะเช่นนี้เข้าข่ายสองมาตรฐาน โดยสถานทูตจีนมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยอย่างร้ายแรง และเป็นการปล่อยให้เกิดกิจกรรมทางอาชญากรรมข้ามชาติ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและละเมิดอนุสัญญาต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง น่าสนใจคือ ชาวอุยกูร์เหล่านี้ควรถูกส่งตัวกลับตามกระบวนการทางกฎหมายปกติ แต่มีการอ้างสิทธิมนุษยชนให้ส่งคนเหล่านี้ไปประเทศที่ 3 ฐานะผู้ลี้ภัย

แต่ปรากฏว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ชาวอุยกูร์เหล่านี้ไม่มีประเทศใดตอบรับที่จะให้ลี้ภัยไปอยู่ในประเทศที่ 3 รัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ที่มีผู้ออกมาแสดงความเห็นว่ามีประเทศที่ 3 ยินดีรับชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไป ไม่เป็นความจริง เพราะปกติถ้ามีประเทศที่สามยินดีรับไปจริง ประเทศเหล่านี้จะต้องมีหนังสือยืนยันแจ้งความประสงค์เป็นทางการต่อรัฐบาลไทย ผ่านกระทรวงต่างประเทศ หรือสถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศนั้น ๆ แต่ไม่มีประเทศใดดำเนินการเลย

มีบางประเทศเคยแสดงความประสงค์โดยเฉพาะในช่วง 11 ปีที่แล้ว ที่ได้มีการส่งตัวชาวอุยกูร์บางส่วนไปแล้ว แต่หลังจากนั้นมาชาวอุยกูร์ที่ยังตกค้าง ไม่มีประเทศใดมีหนังสือแสดงความจำนงเป็นทางการมา ทั้งนี้ เรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับเป็นเรื่องการดำเนินการระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้นที่ต้องตกลงกัน การไปติดต่อผ่านองค์การระหว่างประเทศอย่างข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR หรือเป็นนักการเมืองที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล หรือเอ็นจีโอกลุ่มใด ทำไม่ได้ ต้องเป็นระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น

บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าบรรดานักสิทธิมนุษยชนทั้งหลายก็ทำงานแบบหลับหูหลับตา ทึกทักเอาไว้ก่อน โดยไม่สนใจว่าข้อเท็จจริง ความถูกต้องเป็นอย่างไร ซึ่งสถานทูตจีนก็ยืนยันว่า รัฐบาลจีนและไทยได้ดำเนินการส่งตัวกลับประเทศตามกฎหมาย หลังจากบุคคลเหล่านี้ถูกส่งตัวกลับประเทศและปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว รัฐบาลจีนได้จัดการให้บุคคลเหล่านี้กลับบ้านและรวมตัวกับครอบครัว ซึ่งถือเป็นการปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ดีที่สุด

นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายให้รัฐบาลท้องถิ่นทำงานร่วมกับครอบครัวของคนเหล่านี้ช่วยหางานทำและพัฒนาทักษะวิชาชีพตามความต้องการที่แท้จริงของคนที่ถูกส่งตัวกลับ เพื่อช่วยให้เอาชนะความไม่สะดวกและความยากลำบากที่เกิดจากการถูกคุมขังในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี และกลับมาใช้ชีวิตปกติได้โดยเร็วที่สุด พร้อมยืนยันด้วยว่า ฝ่ายจีนยินดีที่จะเชิญเจ้าหน้าที่ไทยเดินทางไปติดตามสถานการณ์ในอนาคตตามความต้องการของฝ่ายไทย เพื่อเป็นสักขีพยานในชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นจริงของคนเหล่านี้

ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ภาพลักษณ์ของจีนยุคเก่ากับยุคใหม่นั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง หากยังคงความเป็นเผด็จการสุดโต่งย่อมอยู่ยากในโลกที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน ยิ่งเป็นเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ด้วยแล้วหากไม่มีการปรับตัวจะยิ่งถูกกีดกันจากบรรดาประเทศที่จ้องจะใช้ความได้เปรียบในการกดขี่ประเทศที่ตามไม่ทัน ดังนั้น ประเด็นนี้การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว ย่อมเป็นเรื่องที่รัฐบาลสามารถตอบคำถามได้ และต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่ฝ่ายจีนแสดงความโปร่งใสมาทั้งหมดเป็นไปตามนั้นหรือไม่

ส่วนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร เพียงคนเดียวของพรรคฝ่ายค้านนั้น ปมที่กำลังโต้เถียงกันอยู่เวลานี้คงเป็นเรื่องที่ขอเวลาซักฟอก 5 วัน กับการพาดพิงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร อย่างแรกถ้าตัดปมความเหมาะสม จำนวนคนที่ถูกอภิปรายไป หากคำนึงถึงเรื่องมารยาทก็ควรจะเป็นเรื่องการพูดคุยตกลงกันของวิป 3 ฝ่ายให้ได้ข้อสรุป ไม่ใช่โหมประโคมสร้างกระแสเรียกร้องให้สังคมกดดันเพื่อหวังจะให้ได้ตามที่ฝ่ายตัวเองต้องการ เหมือนการเอาแต่ใจ

สุดท้ายก็ต้องจบตรงที่เคาะกันผ่านวิป 3 ฝ่าย สำหรับการจะอภิปรายไปถึงทักษิณถ้ายึดตามญัตติฝ่ายค้านก็จะมีข้ออ้างได้ว่า เพื่อชี้ให้เห็นว่านายกฯ หญิงถูกครอบงำอย่างไร แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าเป็นสิทธิของฝ่ายรัฐบาลที่จะประท้วงหากเห็นว่าผิดข้อบังคับด้วยเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดการตอบโต้ผ่านสื่อเพื่อสร้างกระแส ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถี เพราะกรณีที่ สส.พูดถึงคนนอกไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอยู่แล้ว คนที่เสียหายย่อมมีสิทธิฟ้องร้องดำเนินคดี และตั้งโต๊ะแถลงตอบโต้ได้ อย่างที่บอก ดีไม่ดีเราอาจจะได้เห็นการซักฟอกฝ่ายค้านนอกสภาเป็นของแถมอีกต่างหาก

อรชุน

Back to top button