พาราสาวะถี

ก่อนที่จะมีการประชุม กคพ. ในวันพรุ่งนี้ (6 มีนาคม) วันนี้ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีนัดหมายหารือกับ อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.


ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ.ในวันพรุ่งนี้ (6 มีนาคม) วันนี้ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีนัดหมายหารือกับ อิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. คาดหมายว่าจะเป็นการเข้าพบเพื่อสอบถามความเห็น นำแนวทางที่ได้จาก กกต.ต่อกรณีฮั้วเลือก สว.ไปเสนอต่อที่ประชุม กคพ.ในวันรุ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ท่าทีของ สว.ทั้งหลายต่อเรื่องดังกล่าวก็สะท้อนผ่านการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาอย่างร้อนแรง

โดยข้อกล่าวหาที่หนักหน่วงก็คือ การดำเนินการดังกล่าวก้าวก่ายเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่บุคคลใดจะใช้สิทธิล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งที่ การสอบสวนคดีฮั้วเลือก สว.เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ไม่ใช่ของดีเอสไอ การดำเนินการของดีเอสไอต่อเรื่องนี้เป็นการกระทำนอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ โดยมีการอ้างว่าคดีเลือกตั้งไม่ใช่คดีที่กำหนดไว้ในอำนาจของดีเอสไอ

นอกจากนั้น ยังมีการขอมติจากที่ประชุมวุฒิสภาส่งการอภิปรายที่เกี่ยวข้องกับ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอ ส่งไปยังคณะรัฐมนตรี หรือขอเปิดอภิปรายทั่วไปพันตำรวจเอก ทวี กรณีผิดมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างร้ายแรง และยื่นถอดถอนต่อไป รวมถึงพิจารณาการทำหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอฐานทุจริตต่อหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

งานนี้ มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ซึ่งเคยนำทีมแถลงคัดค้านการรับปมฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษถึงสองครั้งสองครา ก็รับลูกโดยแจ้งต่อที่ประชุมว่า ให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาส่งข้อเสนอแนะให้ ครม. พิจารณา รวมทั้งเห็นว่าการพิจารณาญัตติดังกล่าวสำคัญและเป็นประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา จึงมอบหมายให้ศึกษาเพิ่มเติมและเสนอผลการศึกษาให้ สว.พิจารณาต่อไป

เป็นการใช้กลไกตามอำนาจของ สว.ที่มีอยู่ สุดท้ายทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อสรุปของที่ประชุม กคพ.ว่าจะออกมาอย่างไร แต่ก่อนหน้านั้น ร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะประธานอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ ได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 9 ราย และ 4 ผู้แทนหน่วยงานได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะอนุกรรมการ

เพื่อพิจารณาว่าจะรับคดีฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษหรือไม่ เพื่อเสนอความเห็นให้ที่ประชุม กคพ.ประกอบการพิจารณา โดยที่ประชุมเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่า มีความผิดอาญาเกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (อั้งยี่) มาตรา 116 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ มาตรา 77 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 

มีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (ก) (จ) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เนื่องจากมีผลกระทบเป็นวงกว้าง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมถึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำเสนอต่อบอร์ด กคพ.ในวันที่ 6 มีนาคมนี้ เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษทั้ง 2 กรณี กรณีที่ 1 คือ การกระทำความผิดทางอาญาอื่นที่เกิดขึ้นจากการอั้งยี่ รวมทั้งการกระทำความผิดที่เป็นการได้มาซึ่ง สว. ตามมาตรา 77 (1) ส่วนกรณีที่ 2 คือ ความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการคดีพิเศษ

ทั้งนี้ มีการยืนยันว่าในที่ประชุมอนุกรรมการฯ ได้พูดคุยค่อนข้างหลากหลาย โดยเฉพาะมีการเปิดมาตรา 44 ที่ระบุว่าให้อำนาจ กกต.ในเรื่องใดบ้าง และไม่ได้ตัดอำนาจพนักงานสอบสวนอื่น ขอให้พนักงานสอบสวนอื่นดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ในทางปฏิบัติก็มีเช่นนั้นมาโดยตลอด ซึ่งทางดีเอสไอย้ำว่าที่ดำเนินการมานั้นไม่ได้ทำเรื่องการเลือกตั้ง แต่ทำเรื่องความผิดทางอาญาอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ความเห็นของอนุกรรมการถือเป็นการทำตามหน้าที่ที่ กคพ.มอบหมาย

ท้ายที่สุด จะรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุม กคพ. เพราะการจะรับเป็นคดีพิเศษได้นั้น ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของกรรมการ ที่ผ่านมาหลายกรณีก็ไม่ได้เห็นตามที่อนุกรรมการเสนอ ส่วนบทสรุปที่ออกมานั้น หากรับเป็นคดีพิเศษ ก็จะมีการสอบสวนโดยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับพนักงานอัยการ แต่ถ้าไม่รับเป็นคดีพิเศษ ก็ต้องมีมติว่าจะส่งต่อหน่วยงานใดดำเนินการแทน กรณีนี้คงกลับไปที่ กกต. สุดท้ายในแง่ของกระบวนการทำงาน กกต.คงต้องขอรับความช่วยเหลือจากดีเอสไอ กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะบุคลากรที่มีไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านคดีอาญา

ศึกซักฟอกที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนนี้ มีประเด็นเรื่องจำนวนวันที่จะอภิปราย ที่ฝ่ายค้านและรัฐบาลยังมองต่างมุมกันอยู่มาก ฝ่ายยื่นญัตติอยากได้ 5 วัน ล่าสุดถอยเหลือ 4 วัน โดยใช้เวลาอภิปรายในแต่ละวันจบที่ 5 ทุ่ม ฟากรัฐบาลแกนนำเพื่อไทยหลายคนเห็นว่าแค่ 1 วันก็น่าจะเพียงพอ เพราะซักฟอกนายกรัฐมนตรีแค่คนเดียว หากไม่สร้างวาทกรรม ไม่พาดพิงถึงบุคคลภายนอก ว่ากันด้วยข้อผิดพลาด บกพร่องในการบริหารงาน และการทุจริตต่าง ๆ ไม่เกินสองวันก็น่าจะจบ  

ยังไงก็ต้องไปจบที่การประชุมวิป 3 ฝ่าย หากคุยกันไม่ได้ เคาะกันไม่ลงก็ต้องไปใช้เสียงโหวตในสภา แน่นอนว่า ฝ่ายค้านย่อมไม่อยากให้จบแบบนั้น มีข่าวเล็ดลอดจากซีกพรรคแกนนำรัฐบาล เนื้อหาที่จะชี้ให้เห็นถึงการทำงานในส่วนของ แพทองธาร ชินวัตร แทบจะไม่มีอะไร ส่วนใหญ่เน้นไปที่การกล่าวหา ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผู้ครอบงำ ชี้นำ และมีอำนาจเหนือรัฐบาลและพรรคร่วม นั่นหมายความว่า เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่การซักฟอกเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องการเรียกเรตติ้ง ความนิยมให้พรรคสีส้มมากกว่า

อรชุน

Back to top button