
หุ้นสไตล์ ‘เซียนฮง’
“เซียนฮง” หรือ “สถาพร งามเรืองพงศ์” เป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ บุคลิกของเขา ก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะ “โลว์โปรไฟล์”
“เซียนฮง” หรือ “สถาพร งามเรืองพงศ์” เป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
บุคลิกของเขา ก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะ “โลว์โปรไฟล์” ไม่ค่อยออกมาตามสื่อมากนัก น้อยครั้งมาก ๆ
ส่วนช่วง 2-3 ปีหลัง เริ่มเห็นการออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยการไปงานตามงานสัมมนาบ้าง ทำให้พอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นของเซียนฮง
ส่วนตัวนั้นเคยพบพูดคุยกับเซียนฮงน่าจะ 1-2 ครั้ง
เรื่องที่นั่งสนทนาไม่พ้นเกี่ยวกับเทคนิคการซื้อของเขานั่นแหละ
และคำตอบที่ได้รับจะเหมือนกับที่เขาไปพูดในงานสัมมนา เช่น SET in the City
ในด้านของมูลค่าพอร์ตของเซียนฮง ไม่มีใครทราบว่าอยู่ประมาณเท่าไหร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีการประเมินจากสัดส่วนหุ้นที่เขาถืออยู่ และปรากฏชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ดีดลูกคิดคำนวณกัน…. พร้อมกับบวกโน่นนี่เข้าไปด้วย
ว่ากันว่าเป็นหลักหมื่นล้านบาท
นักลงทุนรายใหญ่คนหนึ่งก็เคยยืนยันเกี่ยวกับตัวเลขมูลค่าพอร์ตนี้
ด้วยกลยุทธ์ลงทุนที่สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาได้ จากเงินลงทุนเริ่มแรกแค่หลักแสนบาท ใช้เวลาไม่นานมาจนพอร์ตขึ้นมาหลักหมื่นล้านบาท ทำให้นักลงทุนต่างติดตามความเคลื่อนไหวของเซียนฮง
เวลามีชื่อของเซียนฮง เข้าไปถือหุ้นใดหุ้นหนึ่ง หุ้นนั้น ๆ จะมียอดเทรดคึกคัก เข้าไปเก็งกำไรกันสนุกสนาน
ล่าสุด เซียนฮง โผล่เข้าไปถือหุ้น 2 บริษัท ใน “กลุ่มเจมาร์ท” คือ
1.บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT จำนวน 64,747,300 หุ้น สัดส่วน 4.44%
2.บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 15,816,200 หุ้น สัดส่วน 1.91%
ทันทีที่มีข่าวออกมาว่าเซียนฮงเข้าถือทั้ง 2 หุ้น
ส่งผลให้ (วันก่อนหน้านี้) มีแรงเข้ามาเทรดหุ้นในกลุ่มเจมาร์ทกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะ JMT ที่มีมูลค่าการซื้อขายกลับเข้ามาอยู่ใน TOP 20 ของหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด
ระหว่างราคาหุ้นบวกได้ระหว่าง 10-15% ทั้ง JMT SINGER รวมไปถึง JMART และ SGC
ประเด็นที่น่าสนใจคือ เซียนฮง น่าจะใช้วิธีการเข้าซื้อหุ้นในกระดานแบบ “ทยอยซื้อ”
เพราะที่ผ่านมา จะไม่เห็นรายการ “บิ๊กล็อต” ของหุ้น JMT และ SINGER
ปกติแล้ว การเข้าซื้อหุ้นในจำนวนมากขนาดนี้ แม้ว่าจะทยอยซื้อ แต่ราคาหุ้น (อย่างน้อย) ต้องเคลื่อนไหวให้เห็นกันบ้างล่ะ
ทว่า เรากลับไม่เห็นการเคลื่อนไหว (ของราคาหุ้น) แบบมีนัยสำคัญ
หากจำกันได้ในช่วงที่เซียนฮงเข้าซื้อหุ้น OR หรือ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ซึ่งทั้งตอนที่เข้าซื้อและขายนั้น ราคาหุ้น OR ค่อนข้างนิ่ง ๆ เช่นกัน
โดยเฉพาะตอนที่ขายออกมาเป็นการขายที่ “นิ่มมาก”
เพราะราคาหุ้นแทบไม่เคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ หรือหุ้นถูกนักลงทุนรายใหญ่เทขายออก
ในด้านของสไตล์หุ้นที่เซียนฮง เคยเปิดเผยข้อมูลไว้นั้น
หลัก ๆ เขาจะดูประมาณ 4-5 โจทย์สำคัญ
เริ่มจาก 1. “หนี้” ว่า หุ้นนั้น ๆ มีอยู่กับสถาบันการเงินมากน้อยแค่ไหน เพราะหากหุ้นไหนมีหนี้มาก โอกาสปันผลจะน้อย บวกกับการนำเงินไปขยายลงทุนจะน้อยด้วยเช่นกัน เพราะต้องนำเงิน (ส่วนใหญ่) ไปคืนสถาบันการเงิน
ขณะเดียวกัน หนี้ ที่มีอยู่จำนวนมาก อาจทำให้สถาบันการเงินหรือแบงก์ไม่ปล่อยกู้เพิ่ม หรือให้ก็อย่างจำกัด
และนั่นทำให้ผู้บริหารอาจจะใช้วิธีการ “เพิ่มทุน”
หรือ สรุปแล้วคือ ดูหนี้ การเติบโต และการจ่ายเงินปันผล
2.“เงินสดในมือ” มีมากน้อยแค่ไหน
แต่เงินสดที่ว่านี้ จะต้องดูหนี้กับสถาบันการเงินเข้ามาประกอบด้วย คือ หากมีเงินสดจำนวนเพียงพอต่อการชำระหนี้ (มีเงินสดสุทธิคงเหลือ) ซึ่งหุ้นที่ว่านี้มีโอกาสจ่ายเงินปันผลได้ดี
ไม่เพียงเท่านั้น หุ้นนั้น อาจจะมีนโยบายการซื้อหุ้นคืน จนทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้นด้วย
3.ดู “อัตรากำไรขั้นต้น” กับ Net Margin ซึ่งตรงนี้จะสามารถมองไปได้ถึงว่าผู้บริหารหุ้นนั้น ๆ “สีเทา” หรือเปล่า
เช่น การไซฟ่อนเงินออกจากบริษัท
- “กระแสเงินสด” กับ “กำไรสุทธิ” ใกล้เคียงกันหรือไม่ เพราะดูกำไรอย่างเดียวไม่ได้
และสุดท้าย คือ ดูอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) ที่จะสะท้อนไปยังอัตราการเติบโต การซื้อหุ้นคืนและการจ่ายเงินปันผล
มีข้อมูลเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับเซียนฮงที่เคยมองตลาดหุ้นไทยไว้เมื่อประมาณ 1 ปีก่อนหน้า
เซียนฮง บอกว่า อาจพักการลงทุนในหุ้นไทย จนกว่าดัชนีจะลงมาที่ประมาณ 1,100 จุด หรือ บวก/ลบ จากตัวเลขนี้ไม่มากนัก
เมื่อถึงเวลานั้น จะมีหลายหุ้นที่ราคาเริ่มถูก
ธนะชัย ณ นคร