พาราสาวะถี

วันนี้ (6 มี.ค.) มีการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ. เพื่อถกปมฮั้วเลือกส.ว. แทบจะไม่ต้องคาดเดา เมื่อทางฝ่ายกกต.ยืนยันไม่เข้าร่วมชี้แจงตามที่กคพ.ได้มอบหมาย


วันนี้ (6 มีนาคม) มีการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ. เพื่อถกปมฮั้วเลือก สว. แทบจะไม่ต้องคาดเดา เมื่อทางฝ่าย กกต.ยืนยันไม่เข้าร่วมชี้แจงตามที่ กคพ.ได้มอบหมายให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้เชิญมาให้ข้อมูล ด้วยเหตุผลว่าการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ตามมาตรา 49 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. โดยมีการทำหนังสือชี้แจงกลับมายังดีเอสไอหนึ่งวันก่อนการประชุม

ถามว่าเสียหายอะไรหรือไม่ ถ้าดูจากเนื้อหาหนังสือที่ กกต.ส่งให้ทางดีเอสไอแล้ว ถือว่าไม่มีอะไรเสียหาย อาจแค่เสียหน้า เพราะแม้จะไม่สามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ แต่การดำเนินการสืบสวนสอบสวนที่ผ่านมาของดีเอสไอไม่ได้สูญเปล่า เนื่องจากตามมาตรา 49 ที่ กกต.ระบุนั้น เนื้อหาตามกฎหมายชี้ไว้ชัดว่า  เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการว่าหน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวน ได้รับเรื่องการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองไว้พิจารณา และคณะกรรมการเห็นว่าเป็นการสมควรที่คณะกรรมการจะดำเนินการเองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้

ให้คณะกรรมการมีหนังสือแจ้งให้หน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวนนั้น โอนเรื่องหรือส่งสำนวนการสอบสวนเกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้นมาให้คณะกรรมการเพื่อดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ในกรณีเช่นนี้ให้หน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวนโอนเรื่องหรือส่งสำนวนการสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองมาให้คณะกรรมการภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าว

นั่นหมายความว่า ตามที่คณะอนุกรรมการคดีพิเศษได้มีความเห็นไปก่อนหน้า ทั้งการกระทำความผิดทางอาญาอื่นที่เกิดขึ้นจากการอั้งยี่ รวมทั้งการกระทำความผิดที่เป็นการได้มาซึ่ง สว. ตามมาตรา 77 (1) และความผิดฐานฟอกเงิน พยาน หลักฐานที่ได้จากการสอบสวน สามารถส่งให้ กกต.นำไปประกอบสำนวนการสืบสวนสอบสวน เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยตามกระบวนการของ กกต.ได้ ส่วนบทสรุปจะเป็นอย่างไร ช้าหรือเร็ว ทั้งหมดถือเป็นความรับผิดชอบของ กกต.แต่เพียงผู้เดียว

ดูเหมือนเป็นความปะเหมาะพอดี สำหรับการประชุม กคพ.ในวันนี้ เนื่องจากหนึ่งวันก่อนหน้า อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยยอมรับได้พา เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในฐานะครูใหญ่ของพรรคสีน้ำเงินเข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร พร้อม แพทองธาร ชินวัตร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ประเด็นตามที่นักข่าวถามก็ว่ากันไปตามนั้น คงไม่มีใครบอกตรง ๆ ว่าคุยกันเรื่องอะไรบ้าง

อย่างน้อยปมเรื่องฮั้วเลือก สว.ย่อมมีการหยิบยกมาสนทนากัน สุดท้ายเมื่อหวยออกที่ กกต.รับจบทั้งหมด ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องมากินแหนงแคลงใจกันระหว่างสองพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญ ขณะที่ฝ่าย สว.สายสีน้ำเงินก็ได้ระบายความอึดอัดด้วยการใช้เวทีที่ประชุมวุฒิสภาต่อประเด็นดังกล่าวไปแล้ว ส่วนแอ็กชันเรื่องการเล่นงาน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กับ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ก็เป็นลูกตามน้ำจากความไม่พอใจที่เกิดขึ้น

ทุกอย่างล้วนแต่เป็นท่วงทำนองทางการเมืองที่แต่ละฝ่ายจะต้องดำเนินไปตามบทบาท ขณะที่การพบปะกันของสองพ่อลูกชินวัตรกับสองผู้มีบารมีของพรรคสีน้ำเงิน ตามภาษาสื่อเรียกว่า 4 ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองในรัฐบาลปัจจุบัน ย่อมมีประเด็นที่ถูกจับตา แตกแขนงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา ที่หนีไม่พ้น คงเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่ลูกสาวคนเล็กของนายใหญ่ถูกจับขึ้นเขียงซักฟอกเพียงลำพัง นอกเหนือจากองครักษ์พิทักษ์ผู้นำหญิงจากพรรคเพื่อไทยแล้ว จำเป็นต้องมีแรงหนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

พรรคร่วมรัฐบาลอื่นไม่ใช่ไม่ให้ราคา แต่ภูมิใจไทยถือว่านอกจากเสียง สส.ที่มีพลังแล้ว ยังถือว่ามีบทบาท อำนาจในการต่อรอง ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เพื่อความมั่นใจนายใหญ่ย่อมต้องประสานเพื่อเคลียร์ใจกันให้ตกผลึกในทุกประเด็นที่เป็นปัญหา อะไรที่หยวน ยอมกัน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็จบกันแบบง่าย ๆ ส่วนเรื่องที่ไม่เข้าใจกันก็คุยกันแบบเปิดอกในฐานะคนคุ้นเคย บางอย่างถ้าเป็นเรื่องของเด็ก ๆ หรือ สส.ที่ต้องการมีพื้นที่แสดงตัวตนก็ยอมหลับตากันข้างหนึ่ง

ถึงตรงนี้ จากการที่คนบ้านในป่ายอมออกจากถ้ำขอใช้ใจบันดาลแรงอีกกระทอก ร่วมอภิปรายอุ๊งอิ๊งด้วย คงเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า ยังมีเขี้ยวเล็บ ข้อมูลลับที่ทำให้สั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลได้ แต่ทางการข่าวทั้งสายทักษิณ และสายสีน้ำเงินเห็นตรงกัน เป็นเรื่องเดิมโดยเฉพาะกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ ซึ่งไม่มีอะไรน่าหนักใจ ดีเสียด้วยซ้ำ หากจะมีการหยิบยกมากล่าวหา เพราะจะได้ย้อนศรกลับไปว่า ถ้าไม่มีปัญหาข้อกฎหมาย หรือต้องมีคนของรัฐ หน่วยงานรัฐ ต้องรับผิดชอบ มันก็ต้องจบไปตั้งแต่รัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจแล้ว

ยิ่งในยุคเผด็จการ คสช.ทุกเรื่องสามารถใช้กฎหมายเผด็จการจัดการได้แบบไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ทำไมไม่ทำ นั่นเป็นเพราะการถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง พออำนาจเปลี่ยนมือมาถึงยุคของรัฐบาลพลิกขั้ว อาจดูเหมือนว่ามีการหักกันของดีลพิเศษที่เคยตกลงก่อนหน้า แต่ทั้งหมดคนเจรจาไม่ใช่คนบ้านในป่า เมื่อคนเดินเกมถูกหักไม่ให้เป็นรัฐมนตรีหลังหมดยุค เศรษฐา ทวีสิน ถือเป็นอันว่าข้อตกลงในส่วนของพรรคสืบทอดอำนาจได้หมดไปด้วย

ทั้งนี้ คำยืนยันของเสี่ยหนูยังคงหนักแน่นเหมือนเดิมคือ ภูมิใจไทยพร้อมหนุนแพทองธารเต็มที่ รัฐมนตรีของพรรค สส.ของพรรคต้องอยู่ในสภาวันซักฟอกตลอดเวลา โดยเฉพาะเสนาบดีของพรรค หากมีการพาดพิงถึงกระทรวงในความรับผิดชอบ 4 กระทรวง ต้องช่วยนายกฯ ชี้แจง นำข้อเท็จจริงออกมาให้มากที่สุด ก่อนจะย้ำว่าหน่วยงานที่ดูแลทั้งหมดพร้อมอยู่แล้ว ก่อนจะแยกเขี้ยวขู่ด้วยว่ารัฐมนตรีคนไหนไม่พร้อม ตนก็ตัดสินรัฐมนตรีของตนได้ หากไม่อยู่ก็one way ticket” เด็ดขาดอย่างนี้ได้ใจนายใหญ่ไปเต็ม ๆ

อรชุน

Back to top button