
มอง SET น่าจะมีสัญญาณฟื้นตัวบ้าง แรงหนุนจากปัจจัยภายนอก
InnovestX วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยการจ้างงานภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นต่ำสุดตั้งแต่ ก.ค. 2024
InnovestX วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยการจ้างงานภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นต่ำสุดตั้งแต่ ก.ค. 2024 ขณะที่การยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้นสะท้อนผลกระทบจากนโยบายลดขนาดรัฐบาลกลางของทรัมป์ที่นำไปสู่การปลดพนักงานจำนวนมาก รวมถึงการลดพนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Starbucks, Meta และ Southwest Airlines สะท้อนความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมที่ทำให้ธุรกิจชะลอการจ้างงาน โดยภาคบริการได้รับผลกระทบมากที่สุด รวมถึงธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานน้อยกว่า 20 คน
InnovestX มองว่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีอายุ 10 ปีที่เพิ่มขึ้นถึง 30 bps มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค 1990 เป็นผลจากแผนการใช้จ่ายของว่าที่นายกฯ Friedrich Merz เสนอ ที่ยุติข้อจำกัดด้านการคลัง (Debt Brake) ที่ไม่ให้ขาดดุลเกิน 0.4% GDP โดย Merz จะจัดตั้งกองทุนพิเศษมูลค่า 5 แสนล้านยูโร สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน และการใช้จ่ายด้านกลาโหมเกิน 1% ของ GDP เพื่อตอบสนองต่อภาระด้านความมั่นคงในยูเครนมากขึ้นหลังจากข้อตกลงสันติภาพระหว่างประธานาธิบดีเซเลนสกี้และทรัมป์ไม่ประสบความสำเร็จ
InnovestX มองว่า ความแตกต่างระหว่างนโยบายของสองมหาอำนาจสะท้อนการปะทะกันของแนวคิดเศรษฐกิจที่อาจนำไปสู่การแบ่งแยกเศรษฐกิจโลกเป็นสองขั้ว (Decoupling) มากขึ้น โดยสหรัฐฯ มุ่งปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศและลดบทบาทระดับโลก ในขณะที่จีนกำลังวางรากฐานระยะยาวเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างเอเชียตะวันออกและยุโรป
ส่วนตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET น่าจะมีสัญญาณฟื้นตัวบ้าง โดยคาดว่าตลาดจะมีแรงหนุนจากปัจจัยภายนอก อาทิเช่น สหรัฐฯ อาจเลื่อนเก็บภาษีนำเข้าบางรายการจากเม็กซิโกและแคนาดา ขณะที่จีนจะยังมีความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน นอกจากนั้นเงินเฟ้อของจีนและสหรัฐฯ คาดยังไม่เปลี่ยนแนวโน้ม ทั้งนี้เป็นผลจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวและราคาพลังงานที่ลดลง ซึ่งน่าจะทำให้เฟดยังไม่เปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน
ส่วนปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามเสถียรภาพทางการเมืองและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ รวมถึงตัวเลขการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือน เม.ย. และเงื่อนไขของการโอนย้ายเม็ดเงินกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESG X ซึ่งจะทำให้ตลาดมีแรงขายลดลง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และ 2 ธีมเทรดดิ้งระยะสั้น ดังนี้
1.หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน โดยคัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดยมีคุณสมบัติ 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง (Interest Coverage ratio > 1) 3) Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Rating ระดับ A-AAA แนะนำ CPALL, BDMS, MTC, MINT, BTG
2.หุ้นปันผลคุณภาพดี โดยมีคุณสมบัติ 1) มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปีขึ้นไป และมี SET ESG Rating ตั้งแต่ระดับ A-AAA 2) คาดบริษัทจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว ยังให้ Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. payout ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ 3) ปี 2568 ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง และราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside เกิน 15% แนะนำ AP, KTB, BBL, PTT, SPALI, KBANK
3.หุ้น Earning Play ซึ่งมองราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนกำไร 1Q68 ที่คาดจะเติบโตดี YoY และ QoQ อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก ADVANC, TRUE, AMATA, TIDLOR, MTC, AU, HTC
4.Trading Idea: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำเก็งกำไรสำหรับหุ้นที่คาดได้ Sentiment บวกจากงาน Opp. Day ซึ่งคาดจะมีโทนประชุมเป็นบวก และเราดูแลอยู่อย่าง AU, TIDLOR, BTG
สุกิจ อุดมศิริกุล