
สองผู้โดดเดี่ยว
การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของผู้นำอย่างมินอ่องลายที่ทำเนียบเครมลินท่ามกลางบรรยากาศต้อนรับขับสู้อย่างชื่นมื่นโดยวลาดีเมียร์ปูติน
การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของผู้นำอย่างมินอ่องลายที่ทำเนียบเครมลินท่ามกลางบรรยากาศต้อนรับขับสู้อย่างชื่นมื่นโดยวลาดีเมียร์ปูติน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะผู้นำทั้งสองล้วนเป็นคนที่โลกพยายามโดดเดี่ยวจากพฤติกรรมอันชั่วร้ายต่อมนุษยชาติ
การเอ่ยถึงความสำเร็จในการเยือนมอสโคว์อย่างเป็นทางการของผู้นำเมียนมาร์ ที่อ้างถึงความสำเร็จทางการค้าร่วมที่เติบโตถึง 40% และการร่วมลงทุนในอนาคตของทั้งสองประเทศกรณีที่รัสเซียจะช่วยสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กราว 100 เมกะวัตต์ และการขายเครื่องบินรบที่ทันสมัย 6 ลำ เป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่เมียนมาร์มอบช้าง 6 เชือกให้โรงละครสัตว์รัสเซีย
ความสำเร็จของการเดินทางเยือนมอสโคว์ของผู้นำทางทหารเมียนมาร์ น่าจะตอกย้ำให้ชาวโลกเห็นถึงความน่าเกลียดของผู้นำจอมเผด็จการทั้งสองประเทศนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าทั้งสองประเทศนี้ ดำเนินนโยบายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างอำมหิตเพียงใด ตัวอย่างเช่นกรณีรัสเซียรุกรานยูเครนด้วยการทำลายล้างอย่างเหี้ยมโหด และกรณีของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเมียนมาร์ต่อบรรดาชนกลุ่มน้อย
คำเยินยอของผู้นำอย่างมินอ่องลาย ที่บอกว่ารัสเซียได้มอบอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงให้เมียนมาร์ ได้สะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่าอาวุธเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ในการเข่นฆ่าชนกลุ่มน้อยในเมียนมาร์ และอาวุธที่เมียนมาร์ขายให้รัสเซียเป็นปืนอาก้าหรือคาราชนิกอฟซึ่งคิดเป็น 40% ของจีดีพีของเมียนมาร์ ช่วยตอกย้ำบทบาทนักค้าอาวุธสงคราม ของรัสเซียและเมียนมาร์ได้อย่างดี
ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นของทั้งสองประเทศ ที่ถูกตั้งข้อรังเกียจจากชาวโลกน่าจะยืนยงต่อไปอีกนานจากผลประโยชน์ร่วมกันในการค้าอาวุธสงคราม และการที่เมียนมาร์ยังผูกติดกับจีนอย่างแนบแน่น ก็ทำให้เมียนมาร์ได้ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางทหารจากทั้งจีนและรัสเซียอย่างยืดหยุ่นได้
พฤติกรรมของผู้นำทหารเมียนมาร์ที่ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับสองมหาอำนาจของโลกนำมาใช้กดขี่ประชาชนในประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจและเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของชาติในอาเซียน
ขณะเดียวกันอิทธิพลของรัสเซียต่อรัฐบาลทหารเมียนมาร์ทำให้ประเทศในอาเซียนที่มีนโยบายอิงกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต้องกระอักกระอ่วนใจมากขึ้นนับจากนี้ไป
วิษณุ โชลิตกุล