ดัชนีวิ่งแรลลี่หรือไม่

หุ้นไทยปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจาก Union Bank of Switzerland (UBS) โบรกเกอร์รายใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์ปรับคำแนะนำหุ้นไทยเป็น “Overweight” จากเดิม “Neutral”


หุ้นไทยปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน

หลังจาก Union Bank of Switzerland (UBS) โบรกเกอร์รายใหญ่จากสวิตเซอร์แลนด์ปรับคำแนะนำหุ้นไทยเป็น Overweight” จากเดิม “Neutral”

พร้อมกับขยับราคาเป้าหมายหลายหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ นักลงทุนต่างประเทศจะปรับพอร์ต ทยอยเก็บหุ้นไทยตามคำแนะนำของ UBS มากแค่ไหน

หรือหากจะอ้างอิงจากข้อมูลก่อนหน้านี้

จะพบว่า พอร์ตนักลงทุนสถาบันต่างประเทศส่วนใหญ่ จะเคลื่อนไหวไปตามคำแนะนำของโบรกเกอร์ต่างประเทศ

และรวมถึงการ “ปรับลด” และ “เพิ่มน้ำหนัก” ทั้งของ MSCI และ FTSE ที่เกี่ยวกับหุ้นไทย

UBS ให้เหตุผลของหุ้นไทยที่ควรเข้าซื้อว่า ราคาลงมาลึกมากเกินไป และอยู่ในโซนค่อนข้าง “ราคาถูก” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงเหตุการณ์โควิด-19 หุ้นไทยเคยลงไปต่ำกว่า 1,000 จุด (ต่ำสุด 969 จุด)

ทว่า เป็นการปรับลงไม่กี่วันเท่านั้น

เพราะหลังจากนั้นดัชนีดีดกลับขึ้นอย่างรวดเร็ว

และมาเคลื่อนไหวอยู่เหนือ 1,200 จุด แม้ว่ายังอยู่ในช่วงสถานการณ์ของโควิด-19

เมื่อนำสถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงโควิดมาเทียบกับขณะนี้ที่ไม่ได้มีวิกฤตอะไรเลย แต่ดัชนีกลับร่วงหล่นลงไปมากกว่าช่วงวิกฤตเสียอีก

นั่นจึงเป็นที่มาของการบอกว่า หุ้นไทยลงรอบนี้ คล้ายกับว่าเป็นการร่วงแบบไม่สนใจพื้นฐาน

แต่อย่างที่เรารับทราบกันว่า หุ้นไทยที่ปรับลงต่อเนื่อง มาจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก

หากดูจากตัวเลขของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ณ สิ้นปี 2567 พบว่า นักลงทุนสถาบัน  ซื้อสุทธิ 48,855.39 ล้านบาท, บริษัทหลักทรัพย์  ซื้อสุทธิ 15.45 ล้านบาท, นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 147,940.15 ล้านบาท และนักลงทุนรายบุคคล  ซื้อสุทธิ 99,069.31 ล้านบาท

ส่วนปี 2568 จากต้นปีมาจนถึงวันก่อนหน้านี้ (18 มี.ค.)

นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 4,492 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 8,266 ล้านบาท

นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 31,201 ล้านบาท

นักลงทุนรายบุคคล ซื้อสุทธิ 43,960 ล้านบาท

ในปี 2567 และปีก่อน ๆ หน้านี้ แม้นักลงทุนสถาบันจะพยายามรับซื้อหรือ “รับของ” ที่นักลงทุนต่างประเทศเทออก

ทว่า รับยังไงก็ไม่ไหว

เช่นเดียวกับนักลงทุนรายย่อยที่เป็น “เดอะแบก” ตลาดหุ้นไทย เพราะซื้อสุทธิมาโดยตลอด

นักลงทุนต่างประเทศที่ยังคงขายต่อเนื่อง และเหตุผลของการขาย มีมาจากหลายปัจจัย เช่น บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ยังอยู่ระดับสูง เฟดปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด นโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” และอื่น ๆ

ส่วนกองทุนวายุภักษ์ ที่ก่อนหน้านี้เสมือนเป็นความหวังของหมู่บ้าน เข้ามาช่วยประคองหุ้นไทย 

และมีเงินหน้าตักก้อนล่าสุดกว่า 1.5 แสนล้านบาท

ก็ยังไม่สามารถพยุงหุ้นไทยได้มากนัก

สำหรับวานนี้หุ้นไทยบวก 13.49 จุด ปิด 1,189.66 จุด

มูลค่าการซื้อขาย 42,722 ล้านบาท

แม้ในเชิงของกราฟที่เป็นสัญญาณทางเทคนิค จะบอกว่า หุ้นที่ขึ้นมารอบล่าสุด จะมีโอกาสขยับขึ้นไปถึง หรือยืนเหนือ 1,200 จุดได้

แต่หากนักลงทุนต่างประเทศที่ปรับพอร์ตแล้วเข้ามาซื้อหุ้นไทยตามคำแนะนำของ UBS แต่ไม่ได้ซื้อแบบต่อเนื่อง

หุ้นไทยเราก็น่าจะขยับลำบาก

หรือไม่สามารถทำแรลลี่ได้

ธนะชัย ณ นคร

Back to top button