
ราคาหมูไทย-เวียดนาม ลมใต้ปีกหนุนกำไร CPF
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีที่สดใสสำหรับ CPF เพราะสามารถพลิกฟื้นผลการดำเนินงานกลับมาเป็นบวกได้ โดยมีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 476%
เส้นทางนักลงทุน
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีที่สดใสสำหรับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) หรือ CPF เพราะสามารถพลิกฟื้นผลการดำเนินงานกลับมาเป็นบวกได้ โดยมีกำไรสุทธิ 19,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 476% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ขาดทุนสุทธิ 5,207 ล้านบาท ตัวเลขกำไรระดับนี้สูงเป็นอันดับสองในรอบกว่า 10 ปี จากก่อนหน้านี้ CPF เคยทำสถิติกำไรสุทธิสูงสุดตลอดกาลไว้เมื่อปี 2563 ที่ 26,022 ล้านบาท โดยในขณะนั้นเมื่อหักกำไรพิเศษที่รับรู้ครั้งเดียว หรือ one-time gain จำนวน 4,166 ล้านบาท กำไรก็ยังสูงอยู่ที่ 21,856 ล้านบาท เลยทีเดียว
การปรับขึ้นของราคาหมูเนื่องจากการระบาดของโรค ASF ในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่ราคาไก่ก็ไม่น้อยหน้า ยังทรงตัวอยู่ได้ในระดับสูง ถือเป็นปัจจัยบวกที่เอื้ออำนวยต่อการพลิกฟื้นของ CPF เมื่อประกอบเข้ากับปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้น จึงส่งเสริมยอดขายให้เติบโต
อีกหนึ่งความสำคัญนั่นคือ การปรับปรุงโครงสร้างภายในทั้งกระบวบการผลิต การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายและค่าขนส่ง ซึ่ง “ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ” ประธานคณะผู้บริหาร ของ CPF เป็นผู้ให้นโยบายและสั่งการภายใต้เป้าหมายต้องใช้เงินลงทุนและบริหารค่าใช้จ่ายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะต้องเกื้อหนุน หรือ Synergy ต่อกัน
“ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้มีโอกาสพบปะทั้ง “ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ” และ “กอบบุญ ศรีชัย” ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ของ CPF จึงได้มีการสอบถามถึงแผนงานในปี 2568 นี้ รวมถึงแนวโน้มย่างก้าวถัดไปในอนาคต พบว่าผู้บริหารยังมั่นใจจะเติบโตได้ต่อเนื่อง
โดย “ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ” ระบุว่า CPF ดำเนินการลดต้นทุนตั้งแต่กระบวนการผลิต เนื่องจากโรงงานจะมีการใช้ AI เข้ามาช่วย เช่น ขั้นตอนการชำแหละ รวมไปถึงการควบคุมดูแลในเรื่องของการขนส่งสินค้า ส่งผลให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนในทุกด้าน ทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นสูงขึ้น ทั้งนี้การลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนเห็นผลอย่างชัดเจนในปี 2567 CPF จึงสามารถพลิกจากขาดทุนในปีก่อนหน้ามาเป็นกำไรได้
ขณะที่ ในปี 2568 นี้ ก็ยังมั่นใจว่า CPF จะไม่น้อยหน้าปีก่อน แถมจะทำกำไรสุทธิได้ดีกว่าซะอีก สอดคล้องกับยอดขายที่ตั้งเป้าหมายจะเติบโต 5-8% จากฐาน 580,747 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งความสดใสของผลการดำเนินงานของ CPF จะเห็นได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 นี้เป็นต้นไป
ด้านการลงทุนนั้น CPF ยังคงงบไว้ในระดับ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่จะลงทุนทั้งหมดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าและการ Synergy กันของธุรกิจใหม่กับธุรกิจที่มีอยู่ เห็นได้จากในปีก่อนที่มีการใช้งบลงทุนเพียง 1.5 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตามงบส่วนใหญ่จะใช้สำหรับอัพเกรดโรงงานในประเทศต่าง ๆ เป็นหลัก เช่น เวียดนาม, ฟิลิปปินส์
“เรามองว่า (กำไร) ปี 2568 น่าจะดีกว่าปี 2567 เพราะมองราคาเฉลี่ยของหมูในไทยยังสูง 80-85 บาท ส่วนราคาไก่ในไทยเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 40-45 บาท เราหันมาเพิ่มประสิทธิภาพภายใน ลดค่าใช้จ่าย ส่วนการลงทุนต่าง ๆ ก็จะดูเรื่องประสิทธิภาพมากขึ้น เราใช้ AI เข้ามาช่วยในโรงงาน ในฟาร์ม และในเรื่องของการขนส่ง ทำให้ต้นทุนรวมของเราลดลงได้ 2-3% ซึ่งเรามีเป้าหมายที่จะต้องลดลงแบบนี้ทุกปี”
“กอบบุญ ศรีชัย” ให้ข้อมูลว่า ยอดขายจากเวียดนามเป็นตัวทำให้ยอดขายทั้งปี 2567 เกินเป้า เพราะสถานการณ์ของโรคระบาด ซึ่งโมเมนตัมนี้ยังคงต่อเนื่องมาในปี 2568 ขณะที่ CPF เองก็ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ
“โมเมนตัมในปีนี้เราไม่น่าจะมีขาดทุนซักไตรมาสเลย จากปีที่แล้วเรามีขาดทุนอยู่ 1 ไตรมาส แต่ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์โลกก็มีความท้าทาย สิ่งที่ทั่วโลกกลัวคือสงครามการค้า
เราเชื่อว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศยังเติบโตได้มาก โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามที่มีสัดส่วนอยู่ 22% ปีนี้เวียดนามก็น่าจะยังคงเป็นพระเอกอยู่พอสมควร เพราะจีดีพีก็ยังเติบโตดีอยู่ ส่วนไทยสัดส่วนลดเหลือ 31% จีน 5%
CPF วันนี้เราจะอยู่ในต่างประเทศมากกว่าในประเทศไทย และทุกประเทศที่เราเข้าไปก็จะไปตั้งโรงงานที่นั่น ผลิตและจำหน่ายที่นั่น ยกเว้นเกี๊ยวกุ้งที่ผลิตในประเทศไทยแล้วส่งไปจำหน่าย ตอนนี้เรามีการลงทุนตรง 14 ประเทศ และร่วมทุน 3 ประเทศ”
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของ CPF แบ่งตามธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) คิดเป็นสัดส่วน 23% ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ (Farm) 55% และธุรกิจอาหาร (Food) คิดเป็น 22%
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ปรับมุมมองต่อ CPF เป็นบวก และปรับเพิ่มเป้าหมายกำไรสุทธิในปีนี้ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาหมูไทย-เวียดนามจะเป็นลมใต้ปีกหนุนกำไรในช่วงครึ่งแรกของปี หนุนด้วยราคาต้นทุนวัตถุดิบการเลี้ยงทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองที่ปรับลดลง นอกจากนี้ CPF เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง จากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยในปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 4.58 แสนล้านบาท จึงได้ปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 ขึ้น 17% เป็น 22,196 ล้านบาท เติบโต 18.7% จากงวดปีก่อน รวมถึงปรับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมขึ้น ให้คำแนะนำ “ซื้อ” มีราคาเหมาะสม 30 บาท
ตามเป้าหมายของผู้บริหาร และคาดการณ์ของโบรกเกอร์ ปี 2568 นี้ CPF ก็ยังจะสดใสต่อเนื่อง