มอง SET มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อ หลังรับรู้ปัจจัยลบไปมากแล้ว

InnovestX มองว่าการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยและเน้นย้ำว่าไม่จำเป็นต้องรีบปรับนโยบายท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง พร้อมทั้งปรับลดประมาณการเศรษฐกิจเหลือ 1.7%


InnovestX มองว่าการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยและเน้นย้ำว่าไม่จำเป็นต้องรีบปรับนโยบายท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง พร้อมทั้งปรับลดประมาณการเศรษฐกิจเหลือ 1.7% และปรับเพิ่มเงินเฟ้อเป็น 2.7% สำหรับปีนี้ โดยกล่าวว่าภาษีนำเข้าจะมีผลกระทบ “ชั่วคราว” ต่อเงินเฟ้อนั้น น่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากเฟดเคยใช้คำว่า “transitory” ในช่วงปี 2021 และพลาดอย่างมากเมื่อเงินเฟ้อลุกลามสู่ภาคบริการอย่างรวดเร็ว การที่การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวพุ่งสูงขึ้นเป็น 4.9% สำหรับปีหน้าและ 3.9% สำหรับช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบสามทศวรรษ เป็นสัญญาณเตือนอันตรายที่จะทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปได้ยากขึ้น การที่เฟดเลือกสื่อสารเช่นนี้อาจทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะต่อไปปรับเพิ่มขึ้นอีก 

โดยเฉพาะหากทรัมป์ขึ้นภาษีต่อเนื่อง จึงต้องจับตาความคาดหวังเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด และหากยังมีการปรับขึ้น เฟดอาจไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้อีกในวัฏจักรนี้ ยกเว้นกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ยังคงคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด 1 ครั้งในเดือนมิถุนายนสู่ระดับ 4.00-4.25%

ส่วนเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนความสำเร็จจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทานของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะมาตรการเพิ่มค่าจ้าง บุตร รวมถึงสนับสนุนธุรกิจสำคัญเช่น AI และ EV ขณะที่ธนาคารกลางจีนกำลังศึกษาแนวทางช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้บริโภคและเตรียมเครื่องมือนโยบายใหม่เพื่อเพิ่มการสนับสนุนต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตาม จีนยังเผชิญความท้าทายสำคัญจากมาตรการกีดกันทางการค้าของทรัมป์ที่เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีน 20% และภาษีเหล็กและอลูมิเนียมอีก 25% ซึ่งกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก นอกจากนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซาต่อเนื่อง ทำให้ InnovestX ยังคงคาดการณ์การเติบโตเป็น 4.5% ในปีนี้

ส่วนตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อหลังรับรู้ปัจจัยลบไปมากแล้วจนทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรง 15% YTD แย่สุดในตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งนี้มองว่าตัวเลขเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนจะส่งผลดีต่อบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทย นอกจากนั้นท่าทีของธนาคารกลางทั่วโลกออกไปในทิศทาง Dovish มากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีในประเทศมีปัจจัยที่ยังต้องติดตามเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24-26 มี.ค. ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดยคัดเลือกจาก 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และ 3) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 68 อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้น SET50 ที่น่าสนใจ ได้แก่ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, PTT ส่วนหุ้น SET100 ที่น่าสนใจ ได้แก่ AP, BCH, BTG

หุ้นปันผลคุณภาพดี โดยมีคุณสมบัติ 1) มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 20 ปีขึ้นไป และมี SET ESG Rating ตั้งแต่ระดับ A-AAA 2) คาดบริษัทจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2567 หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว ยังให้ Div. Yield สูงเกิน 4% และ Div. payout ratio มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือทรงตัว และ3) ปี 2568 ผลประกอบการยังแข็งแกร่ง และราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside เกิน 15% แนะนำ AP, KTB, BBL, SPALI, KBANK

หุ้น Undervalued สำหรับลงทุน โดยคัดเลือกหุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายของกองทุน โดยมีคุณสมบัติ 1) ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ YoY 2) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง (Interest Coverage ratio > 1) 3) Valuation ไม่แพง โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) มีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Rating ระดับ A-AAA แนะนำ MTC, MINT, AMATA, BJC, CPF

สุกิจ อุดมศิริกุล

การประมาณการเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และดอกเบี้ยของ Fed 

Variable (%) 2025 2026 2027 Longer run
GDP

(Dec Proj.)

1.7 1.8 1.8 1.8
2.1 2.0 1.9 1.8
U-rate

(Dec Proj.)

4.3 4.3 4.3 4.2
4.3 4.3 4.3 4.2
Core PCE

(Dec Proj.)

2.8 2.2 2.0
2.5 2.2 2.0
Fed Funds

(Dec Proj.)

3.9 3.4 3.1 3.0
3.9 3.4 3.1 3.0

Source: FED

Back to top button