KTB-TTB จะควบรวม! ต้องถาม TCAP

กระแสข่าวการควบรวมกิจการระหว่าง ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB และ ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TTB เกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ข่าวดังกล่าวจะยุติลงอย่างรวดเร็ว


กระแสข่าวการควบรวมกิจการระหว่าง ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB เกิดขึ้นอีกครั้ง

ก่อนที่ข่าวดังกล่าวจะยุติลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อธนาคารทั้งสองแห่ง ต่างปฏิเสธข่าวอย่าง “ฉับพลัน

โดยเฉพาะของ TTB นั้น เป็นการแจ้งให้ข้อมูลแบบ “ปลายปิด” คือ ไม่ต้องมาตั้งคำถามอะไรต่อกันอีก

จะว่าไปแล้วกระแสข่าวเรื่อง KTB กับ TTB ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น

ทว่า ย้อนหลังไปก่อนหน้านี้ ซึ่งน่าจะหลายปีแล้วล่ะ เคยมีการเสนอ (ข่าว) ที่จะให้ธนาคารทั้งสองแห่งควบรวมกิจการกัน

หากจำไม่ผิด ในช่วงขณะนั้น กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญใน TTB มากกว่าปัจจุบัน (ตอนนี้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 คิดเป็น 11.67%)

แต่จนแล้วจนรอด กลับกลายเป็นเพียงกระแสข่าวเท่านั้น

อาจจะมีคำถามว่า แล้วกระแสข่าวนี้เกิดขึ้นมาอีกได้อย่างไร

คำตอบคือ ยังคงมีความพยายามของบุคคลที่เกี่ยวข้อง อยากเห็นการควบรวมของสองธนาคาร

นัยสำคัญไม่ใช่เพราะเห็นว่าแบงก์ใดแบงก์หนึ่งมีปัญหา

แต่เป็นเรื่องที่แบงก์ทั้งสองแห่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐถือหุ้นอยู่ บวกกับต่างมีความแข็งแกร่งคนละด้าน หากควบรวมกิจการกัน จะทำให้มีสินทรัพย์รวมกันมากกว่า 5.5 ล้านล้านบาท

มีการบอกว่าความแข็งแกร่งที่ครอบคลุม จะสามารถยกระดับให้ธนาคารที่เกิดจากการควบรวมขึ้นเป็น Regional Bank หรือการเป็น “ธนาคารชั้นนำในระดับภูมิภาคเอเชีย”

พร้อมกับยกตัวอย่างด้วยว่า ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย หากเทียบกับของประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ เช่น Maybank, United Overseas Bank จะพบว่า สถาบันการเงินเหล่านี้มีขนาดสินทรัพย์ที่ใหญ่กว่าของไทยมาก

แม้ว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยเอง จะมีการขยายลงทุนเข้าไปยังในภูมิภาคมากขึ้น

แต่ก็ยังไม่สามารถยกระดับเป็น Regional Bank ได้อย่างรวดเร็ว

จากข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุด เกี่ยวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นของ KTB และ TTB

KTB มีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF ถือหุ้นมากเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 55.07% รองลงมาคือ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 4.59% และอันดับ 3 คือ กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง จำนวน 1.81%

มาดูกลุ่มผู้ถือหุ้น TTB กันบ้าง

อันดับ 1 บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP จำนวน 24.42%

อันดับ 2 กลุ่มไอเอ็นจี หรือ ING BANK N.V. จำนวน 22.78%

อันดับ 3 กระทรวงการคลัง 11.67%

อันดับ 4 กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง 9.85%

กลุ่มธนชาต ยังถือหุ้นในนาม บริษัท ธนชาต เอสพีวี 1 จำกัด อีก 0.56%

ซึ่งเท่ากับว่ากลุ่มธนชาตถือหุ้นรวมใน TTB รวมกันประมาณ 24.98% ส่งผลให้เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นมากสุดใน TTB

มีการตั้งข้อสมมติฐานด้วยว่า หาก KTB–TTB ควบรวมกิจการกันจริง จะส่งผลให้ FIDF ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 แน่นอน ส่วนอันดับรองลงมา ผู้ถือหุ้นต่าง ๆ สัดส่วนจะถูก “ไดลูท” ลงมาตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่เดิมของทั้งสองธนาคาร

อาจจะมีคำถามเกิดขึ้นอีกว่า แล้วที่มาของแนวความคิดนี้เกิดขึ้นจากตรงไหน ใครเป็นคนจุดประกาย

คำตอบที่คาดเดากันคือ คงไม่พ้นกระทรวงการคลัง ที่อาจจะเป็นข้อเสนอของบุคคลที่เป็น “ข้าราชการประจำ” หรืออาจจะมาจาก “ข้าราชการการเมือง”

แต่หากจะบีบให้แคบลงมาอีก ระหว่าง ข้าราชการประจำ หรือข้าราชการการเมือง

คำตอบสุดท้ายน่าจะอยู่ฝ่ายหลังมากกว่า

ดังนั้น ในด้านของกลุ่มผู้ถือหุ้นฝั่งของกรุงไทย อาจจะดูไม่มีปัญหา หากมันเป็นนโยบาย

แต่ในฝั่งของ TTB นี่สิ ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นเอกชนถึงสองกลุ่ม คือ กลุ่มไอเอ็นจี กับกลุ่มธนชาต

ในด้านของกลุ่มไอเอ็นจีนั้น ว่ากันว่า อาจจะไม่ติดอะไร ควบรวมก็ได้ หรือไม่ก็ได้ ขณะที่กลุ่มธนชาต หากนับตั้งแต่ที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้ (หลายปี) อยู่กับความ “นิ่ง” มาตลอด

กระทั่งต้อง “ขยับ” ในครั้งล่าสุดนี่แหละ

สำหรับกลุ่มธนชาตนั้น เข้ามาถือหุ้น TTB หลังจากเกิดการควบรวมกิจการกันระหว่างแบงก์ทหารไทย (TMB) และ ธนาคารธนชาต (TBANK)

ช่วงเวลานั้นกลุ่มธนชาตมีสัดส่วนถือครองหุ้นไม่มากนัก มีสัดส่วนใกล้เคียงกับไอเอ็นจี และคลัง

แต่ต่อมาได้เข้าซื้อหุ้นเข้ามาเรื่อย ๆ และดันตนเองขึ้นมาเป็นผู้ถือหุ้นมากสุดใน TTB

หากใครที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มธนชาตแบบ “เชิงลึก” แล้วจะทราบดีว่า ดีล KTB กับ TTB จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากกลุ่มการเงินนี้ “ไม่เห็นด้วย”

ธนะชัย ณ นคร

Back to top button