TACC โต 3 ปีซ้อน
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ TACC อาจมีออกมาไม่มากสักเท่าไหร่ ซึ่งตัวอาจารย์เข้าใจว่า ผู้บริหารกำลังยุ่งอยู่กับการขยับขยายกิจการ จึงไม่ค่อยมีเวลาออกมาสัมภาษณ์สื่อต่างๆ แต่จากที่เคยพูดคุยเป็นการส่วนตัว และได้สอบถามถึงแผนงานที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่า นี่เป็นหุ้นดาวรุ่งพุ่งแรงตัวหนึ่ง
สภาแมงเม่า: ดร.สมชาย
คุณอภิชาต จากเทพารักษ์ สมุทรปราการ พูดถึงกระแสข่าวที่เกี่ยวข้องกับหุ้น TACC หรือบริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน)ในช่วงที่ผ่านมามีแต่เรื่องดีๆ ซึ่งผมเข้าใจว่า ได้ที่ปรึกษาทางการเงินดี และตัวผู้บริหารมีความตั้งใจในการทำธุรกิจ จนเป็นที่มาของข่าวที่พูดกันว่า นับจากนี้เป็นเวลา 3 ปี บริษัทแห่งนี้จะโตอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายว่า บริษัทนี้จะโตได้จริงไหมครับ
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ TACC หรือ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) อาจมีออกมาไม่มากสักเท่าไหร่ ซึ่งตัวอาจารย์เข้าใจว่า ผู้บริหารกำลังยุ่งอยู่กับการขยับขยายกิจการ จึงไม่ค่อยมีเวลาออกมาสัมภาษณ์สื่อต่างๆ แต่จากที่เคยพูดคุยเป็นการส่วนตัว และได้สอบถามถึงแผนงานที่จะทำให้บริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่า นี่เป็นหุ้นดาวรุ่งพุ่งแรงตัวหนึ่ง
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นมาจากธุรกิจของ TACC เกี่ยวข้องกับสินค้าบริโภคเป็นหลัก จึงเชื่อได้ว่า การเติบโตของธุรกิจจะเป็นแบบขั้นบันได ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายสินค้าในแนวระนาบมากขึ้น ส่งผลให้ยอดรายได้และกำไรในปี 59 น่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียวนะครับ
วิเคราะห์แบบนี้อาจทำให้นักลงทุนมองไม่เห็นภาพสักเท่าไหร่
อาจารย์จึงขอยกตัวอย่างคร่าวๆ เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพได้ชัดขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกันครับ
สิ่งที่ทุกคนรู้คือ สินค้าของ TACC ถูกจัดวางอยู่ในเซเว่นทุกสาขา ซึ่งหมายความว่า ยอดขายจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ประเด็นถัดมาคือ สินค้าของ TACC ชุดใหม่ที่ลงไปขายในเซเว่นยังมีไม่ถึง 1,000 แห่ง เมื่อเทียบกับสาขาของเซเว่นที่มีเกิน 7,000 แห่ง ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า บริษัทยังมีช่องว่างให้เติบโตค่อนข้างเยอะ บวกกับการลงสินค้าชุดใหม่หนึ่งอย่างในแต่ละเซเว่น ทำได้ไม่เกิน 1,000 แห่งต่อปี ยิ่งทำให้บริษัทนี้ดูโดดเด่นมากขึ้นเป็นกอง
เนื่องจากข้อมูลข้างต้นเหมือนเป็นการบอกเป็นนัยว่า บริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3 ปีเป็นอย่างต่ำ
ที่สำคัญหากเปรียบเทียบกับยอดขายของเซเว่นที่ตกปีละ 3 แสนล้านบาทเป็นอย่างต่ำ และบริษัทนี้มีส่วนแบ่งขั้นต่ำอยู่ที่ 1% เท่ากับบริษัทนี้มีรายได้ตกปีละ 3,000 ล้านบาท และเมื่อคิดจากกำไรต่อยอดขายอยู่ที่ 10% ตัวเลขกำไรสุทธิก็จะอยู่ในระดับ 300 ล้านบาท
เมื่อนำกำไรดังกล่าวมาหารด้วยจำนวนหุ้นที่มีอยู่ 608 ล้านหุ้น ก็จะได้กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ระดับ 0.49 บาท และเมื่อนำมาคำนวณบนค่า P/E ที่ระดับ 20 เท่า ก็จะได้ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท โดยข้อมูลทั้งหมดที่อาจารย์ยกตัวอย่างให้ฟังเป็นการรวิเคราะห์แบบอนุรักษ์นิยม
ส่วนนักลงทุนจะเชื่อตามที่อาจารย์ประเมินหรือเปล่า? ก็ใช้วิจารณญาณส่วนตัวตัดสินกันเอาเองนะครับ
…
กราฟประกอบคอลัมน์: Aspen, ราคาปิด ณ วันที่ 19 ก.พ.59