
โอกาสช้อปหุ้นปันผลสำหรับผู้มีเงินออม
ตลท. เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 67 เพื่อนักลงทุนใช้ประกอบการวางแผนคัดเลือกหุ้นปันผลและเลือกจังหวะเข้าซื้อ
เส้นทางนักลงทุน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปี 2567 เพื่อให้นักลงทุนใช้ประกอบการวางแผนคัดเลือกหุ้นปันผลและเลือกจังหวะเวลาในการเข้าซื้อหุ้นปันผลสะสมเข้าพอร์ตการลงทุน โดยระบุว่า การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่ามูลค่าการจ่ายเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.01% ด้วยปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2566-2567 ที่มีรายได้รวมสูงปีละกว่า 18 ล้านล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ถึง 941,000 ล้านบาท และ 870,000 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ทั้งในตลท. และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 590 บริษัท มีการจ่ายเงินปันผลรวม 864 ครั้ง รวมเงินปันผลจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นกว่า 593,610 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลจ่ายเงินปันผล คือในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2567 บริษัทจดทะเบียนจ่ายเงินปันผลรวม 538 ครั้ง หรือคิดเป็น 62.3% ของจำนวนการจ่ายเงินปันผลทั้งหมดในปีดังกล่าว โดยเดือนพฤษภาคมมีการจ่ายเงินปันผลมากที่สุด ทั้งจากจำนวนครั้งและมูลค่าเงินปันผลจ่าย มีการจ่ายเงินปันผลรวม 464 ครั้ง คิดเป็น 53.7% ของจำนวนการจ่ายเงินปันผลทั้งหมดในปีดังกล่าว
ในช่วง 3 เดือน คือเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2567 มีการจ่ายเงินปันผลรวม 366,148 ล้านบาท คิดเป็น 61.7% ของมูลค่าเงินปันผลทั้งหมดที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้น โดยเดือนพฤษภาคม 2567 มีการจ่ายเงินปันผลด้วยมูลค่าสูงสุด 216,566 ล้านบาท คิดเป็น 36.5% ของมูลค่าเงินปันผลทั้งหมดที่จ่ายให้ผ้ถูือหุ้น ตามมาด้วยเดือนเมษายน 2567 มีการจ่ายเงินปันผลด้วยมูลค่าสูงสุด 145,256 ล้านบาท คิดเป็น 24.5%
อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปีจะมีเทศกาลจ่ายเงินปันผลอีกหนึ่งรอบในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนของทุกปี มีการจ่ายเงินปันผลรวม 210 ครั้ง หรือประมาณ 24.3% ของจำนวนการจ่ายเงินปันผลในปี 2567 โดยเดือนกันยายน 2567 มีการจ่ายเงินปันผลด้วยมูลค่าสูงสุด 145,100 ล้านบาท คิดเป็น 24.4%
หากพิจารณาหมวดธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก พบว่ายังคงเป็นหมวดเดียวกันกับปี 2566 ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธนาคาร และหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (Energy and utilities sector) จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นด้วยมูลค่ามากที่สุด มีมูลค่ารวมกว่า 170,148 ล้านบาท
ตามมาด้วยบริษัทจดทะเบียนในหมวดธนาคาร (Banking sector) ที่จ่ายเงินปันผลด้วยมูลค่ารวม 107,093 ล้านบาท และหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information & Communication Technology sector) ที่จ่ายเงินปันผลด้วยมูลค่ารวม 53,594 ล้านบาท
หากพิจารณาความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนจากผลประกอบการประจำปี 2567 พบว่า บริษัทจดทะเบียนไทย 925 บริษัทที่รายงานผลประกอบการ มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 2566 แต่ก็อยู่ในระดับสูง โดยมีกำไรสุทธิรวมกว่า 869,000 ล้านบาท และพบว่า 67.8% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด (627 บริษัท) ยังคงมีกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจ
ขณะที่ ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ลดลงไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า SET Index ที่ลงมาอยู่ในระดับต่ำ อาจเป็นโอกาสของนักลงทุนในการเข้ามาเลือกซื้อหุ้นเพื่อรับเงินปันผล ซึ่งการลงทุนในหุ้นปันผลก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนและผู้มีเงินออมที่เน้นการลงทุนระยะยาว
ที่สำคัญคือ การคัดเลือกหุ้นปันผล และจังหวะเวลาในการเข้าซื้อหุ้นปันผล โดยปกติราคาหุ้นจะสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน อาทิ ทิศทางเศรษฐกิจ ภาวะอุตสาหกรรม ผลประกอบการ เป็นต้น และปัจจัยด้านจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความคาดหวังของนักลงทุนและปริมาณความต้องการหุ้นของนักลงทุน
จากการเคลื่อนไหวของ SET Index ตั้งแต่ตลาดเปิดทำการซื้อขายในปี 2518 ถึงปัจจุบัน พบว่ามีช่วงที่ SET Index แตะที่ระดับ 1,000 จุด ขึ้นไป อยู่ 3 ช่วงเวลา กล่าวคือ ในปี 2533 ที่ SET Index ทำสถิติสูงสุดระหว่างที่แตะ 1,143 จุด ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2533 ก่อนลดลงมาปิดสิ้นปีที่ 612.86 จุด และในช่วงที่ 2 ในช่วงปี 2538-2539 ช่วงก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง และในช่วงที่ 3 ตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน ที่ SET Index มีการเคลื่อนไหวอยู่ในระดับสูงกว่า 1,000 จุด ต่อเนื่องกว่า 15 ปี
หากเปรียบเทียบผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (ตลท.และเอ็ม เอ ไอ) พบข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ 1.ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 ที่กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนลดลงค่อนข้างเยอะ เหลือเพียง 399,000 ล้านบาท ขณะที่ SET Index เคลื่อนไหวในช่วงกว้าง อยู่ในช่วง 1,024.46-1,600.48 จุด และปิดที่ 1,449.35 จุด ก่อนที่กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะฟื้นตัวมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด
2.ในปี 2567 แม้ว่าบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวมลดลงน้อยกว่าปี 2566 แต่ก็อยู่ในระดับสูงถึง 869,000 ล้านบาท ขณะที่ SET Index ลดลงไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19
อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลในปี 2568 นอกจากจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการปี 2567 ก็ยังขึ้นอยู่กับผลประกอบการที่เกิดขึ้นในปี 2568 ที่อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งนโยบายการจ่ายเงินปันผลและมติที่ประชุมผ้ถูือหุ้นของแต่ละบริษัทอีกด้วย