ฤๅ ตลาดทุนจะถึงคราว ถอยหลังเข้าคลอง เพราะความคิดล้าหลัง ของคนในวงการ

หนึ่งในการประชุม ที่มีข้อถกเถียงกันระหว่าง การแบน หรือไม่แบน Short sell-HFT ของบรรดาโบรกเกอร์ทั้งหลาย ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา


หนึ่งในการประชุมที่มีข้อถกเถียงกันระหว่าง การแบน หรือไม่แบน Short sell-HFT ของบรรดาโบรกเกอร์ทั้งหลาย ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการประชุม Hearing HFT-Short Sell อย่างดุเดือด ระหว่าง ตลาดหลักทรัพย์ฯ กับ โบรกเกอร์

มาตรการของ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่หวังจะมาเอาใจรายย่อยและเรียกความเชื่อมั่นกลับมาใน public hearing ล่าสุด กลับถูกปฏิเสธไม่เป็นท่า หลังมีผู้บริหารบล.สาวใหญ่ที่เป็นตัวแทน ของโบรกฯ สีส้ม ออกตัวแรง

ตอกหน้าประกาศกลางวงประชุมไม่เชื่อมั่น การทำงาน การตรวจสอบของ หน่วยงาน ตลท. และ ก.ล.ต.

โดยเจ้าตัวยังหลง ไปกับความเชื่อที่ตนเคยอยู่ในโลกยุคเดิม ๆ ว่า “การซื้อขายหุ้นไม่ต้องเปิดเผยตัวตน” เเบบที่ตัวเองเคยเจอในอดีต

ส่วนทางการ เจอการยกตัวอย่างแบบนี้เข้าไปก็อึ้ง พูดอะไรไม่ออก  แถมยังถูก เสนอค้านการผ่อนเกณฑ์ Uptick rule และยังชงให้มีการยกเลิก Short sell อีกต่างหาก

เท่านั้นไม่พอ โบรกฯ ส้มดังกล่าว ยังเสนอให้ HFT สามารถใช้ได้กับหุ้นแค่หุ้น 25 ตัวแรก ในกลุ่ม SET50 เท่านั้น

และขยายเวลา Minimum resting time แทนการยกเลิก ที่จะมีอยู่ใน hearing ครั้งนี้ด้วย

ส่วน โบรกฯ ใหญ่ ที่มีส่วนได้เสีย กลับเงียบกริบ ปล่อยให้โบรกฯ ไซส์กลาง-เล็ก ท้าทาย กับทางการไป

ทำให้การประชุมกับบล.รอบนี้ ไม่ได้จบสวยอย่างที่ ผู้บริหารตลท.คาดหวังไว้

การเปิดเผยรับฟังความคิดเห็นล่าสุดของ ตลท. ได้มีการเสนอการผ่อนเกณฑ์ uptick ให้สามารถกลับมาขายชอร์ตในราคา last trade ได้ หากราคาปิดของวันก่อนหน้าไม่ได้ลดลงไปมากกว่า 10%

ลักษณะดังกล่าว เป็นการเปิดทางให้สามารถขายชอร์ตได้สะดวกขึ้น เพียงหวังจะดึงสภาพคล่อง หรือวอลุ่มเทรดรายวัน ให้กลับมาสู่สภาวะปกติ

แต่ดูเหมือนจะมีโบรกฯ บางกลุ่มพยายามจะไม่เข้าใจเรื่องของสภาพคล่อง หรือ ทำเป็นไม่เข้าใจกับ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากวอลุ่มเทรดหายไป

ไม่แน่ใจว่า จะด้วยเหตุผลที่ โบรกฯ ตนเองวอลุ่มน้อยอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา? หรือ จะเป็นเหตุผลอื่น ๆ อันนี้ก็สุดที่จะหยั่งรู้ได้

การออกตัวแรง ค้านการผ่อนเกณฑ์ uptick แบบเต็มที่ พร้อมกับปิดหู ปิดตา เมินข้อมูลที่ ตลท. อุตส่าห์นำมาเสนอ ว่าปัจจุบันไม่ได้มีส่วนที่ทำให้เกิดผลกระทบแล้ว

นอกเหนือจากการเสนอให้ ยกเลิก short sell ด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าแรงซื้อและวอลุ่มจะกลับมา ก็ยังมีการดึงเรื่อง Naked short เข้ามาเสริม เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการจะยกเลิก short sell ให้มากขึ้นไปอีก

จากนี้ไปคงต้องรอดูท่าทีของ ตลท. กันต่อไป ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้

ส่วนมาตรการจำกัดหุ้นให้ HFT เทรดได้แค่ SET100 ก็แลดูไร้ความหมาย เพราะบล. เสนอให้เทรดแค่หุ้น 25 ตัวแรก ดูทรงแล้ว ตลท. จะงานเข้าหนักกว่าเดิม กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกละทีนี้ จะเอายังไงต่อไปก็คงต้องติดตามผล hearing ที่จะสิ้นสุดในวันนี้ (31 มี.ค.)

ตลาดหุ้นไทยจะรุ่งหรือร่วงต่อ คงได้คำตอบเฉลยในอีกไม่กี่อึดใจ

สุดท้ายใครจะเสนออะไรมาก็ได้ทั้งนั้น ถ้าสิ่งนั้นทำให้ภาพรวมดีขึ้น  และก็หวังว่าจะมีความกล้าพอที่จะออกมารับผิดชอบ ถ้าหากมีผลกระทบตามมา คือ “ฝรั่งขายหุ้นไทยออกอีกระลอกใหญ่”

แต่ที่ สามารถทวงได้เลยในตอนนี้ คือ กลุ่มคนที่เสนอให้ใช้ Uptick rule ในช่วงที่ผ่านมา แล้วตลาดยังลงต่อ 200-300 จุด ควรจะต้องออกมารับผิดชอบ

เพราะต้นเหตุทำให้วอลุ่มเทรดของตลาดหุ้นไทย เหลือวันละ 2-3 หมื่นล้าน คือ กลุ่มคนที่มองว่า short sell เป็นผู้ร้าย ต้องหาวิธีจัดการ

มาวันนี้ ได้เห็นผลกระทบแล้วว่า วอลุ่มเทรดรายวัน ลดลงตามวอลุ่ม short sell ที่เหลือเพียงแค่ 4% เท่านั้น

ลำพังแค่ใช้ uptick ที่ขวาง short sell ดัชนียังร่วงหนัก และวอลุ่มเทรดหายไปแบบนี้

ถ้าแบน short sell จริง ๆ ตลาดหุ้นไทยคงจะพังก่อน เพราะแรง Long sell ของฝรั่ง และ จะเงียบเป็นป่าช้า เพราะวอลุ่มเทรดจะเหลือ 1.5-2 หมื่นล้านบาท

จนสุดท้ายจะมีแต่คนไทยที่ซื้อขายกันเอง เราจะอยากเห็นตลาดหุ้นไทยเป็นแบบนี้จริง ๆ หรือ?

อึ้งย้ง

Back to top button