พาราสาวะถี

นับตั้งแต่เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย จนทำให้เกิดสึนามิครั้งแรกในประเทศไทย ผ่านไป 20 ปีเศษ เหตุการณ์แผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนสะกายในเมียนมา แรงสั่นไหวระดับ 8.2 สะเทือนมาถึงประเทศไทยอย่างหนักหน่วง


นับตั้งแต่เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย จนทำให้เกิดสึนามิครั้งแรกในประเทศไทย นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเมื่อ 27 ธันวาคม 2547 ผ่านไป 20 ปีเศษ เหตุการณ์แผ่นดินไหวจากรอยเลื่อนสะกาย ในเมียนมา วันศุกร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา แรงสั่นไหวระดับ 8.2 สะเทือนมาถึงประเทศไทยอย่างหนักหน่วง ผู้คนในกรุงเทพฯ แตกตื่นจนโกลาหล วิ่งหนีตายลงมาจากตึกสูง การจราจรเป็นอัมพาตไปทั้งเมือง รถไฟฟ้าทุกสายไม่สามารถให้บริการได้ ย่อมเป็นสัญญาณเตือนเรื่องภัยธรรมชาติไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และดูเหมือนว่าแต่ละครั้งหากเกิดขึ้นความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นตามมาด้วย

นอกเหนือจากความวุ่นวายจากความตื่นตระหนกของผู้คนแล้ว ยังมีกรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ หรือ สตง. ความสูง 30 ชั้น มูลค่า 2,136 ล้านบาท ถล่มจากแผ่นดินไหวดังกล่าว จนมีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ต้องเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในซากปรักหักพัง ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวัน คนส่วนใหญ่ร่วมกันภาวนาขอให้มีปาฏิหาริย์พบผู้รอดชีวิตเพิ่มขึ้นในทุกวัน แต่ดูเหมือนว่าแนวโน้มจะไม่เป็นอย่างนั้น

ส่วนคำถามเรื่องทำไมตึกของ สตง.มูลค่ามหาศาลถึงพังลงได้ง่ายดายอย่างนี้ ถ้าเอาความสะใจในฐานะหน่วยงานตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ย่อมพากันมองไปถึงเรื่องความไม่โปร่งใส เงินทอนในโครงการ แต่ทั้งหมดต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจึงจะสามารถยืนยันได้ว่า การก่อสร้างได้มาตรฐานแล้วแต่เป็นเหตุสุดวิสัย หรือมีความไม่ชอบมาพากลใดหรือไม่ ทุกอย่างต้องรอ กรณีนี้ แพทองธาร ชินวัตร ก็สงสัยไม่แพ้คนทั่วไปเหมือนกัน จึงต้องทำให้ทุกอย่างเกิดความกระจ่าง

เสร็จศึกซักฟอก สถานีต่อไปที่ฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคประชาชนจะได้โชว์ฝีมือคือการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งจะมีขึ้นหลังเปิดประชุมสภาสมัยหน้า อย่างไรก็ตาม หลังเสร็จสิ้นการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจเรียบร้อย ภาพที่สะท้อนความเป็นละครการเมืองก็เกิดขึ้น เมื่อมีการเดินขึ้นไปบริเวณบัลลังก์ที่นั่งรัฐมนตรีของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กับ ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่เข้าไปพูดคุยและถ่ายภาพร่วมกับแพทองธาร และคณะรัฐมนตรีด้วย โดยบรรยากาศชื่นมื่น

คล้อยหลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง ผู้นำฝ่ายค้านคนเดิมกลับให้สัมภาษณ์นักข่าว หากยังมีนายกฯ ชื่อแพทองธาร คนไทยจะอายุสั้นลง ยังคงใช้วาทกรรมดิสเครดิตไม่ต่างจากการเมืองรุ่นเก่าแต่อย่างใด ขณะที่ก่อนซักฟอกก็ลีลากว่าจะแก้ญัตติซักฟอก ถอดชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ออกเปลี่ยนเป็นบุคคลในครอบครัว สุดท้ายถึงเวลาอภิปรายที่ทำท่าจะดุเดือดกลับไม่เป็นไปอย่างที่คาด เคยประกาศปาว ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม พาดพิงแน่คนนอกพร้อมรับผิดชอบ เอาเข้าจริงก็แค่ผิวเผินไม่สะใจสายฮาร์ดคอร์ รู้อยู่แล้วไปแตะพ่อนายกฯ ถูกฟ้องขึ้นมาน่าจะได้ไม่คุ้มเสีย

ทั้งหมดนั้นส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะข้อกล่าวหาถูกครอบงำมันพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำ ตามที่อุ๊งอิ๊งย้ำ ความเป็นพ่อลูกคงเป็นเรื่องประหลาดหากจะไม่ปรึกษาหารืออะไรกัน ยิ่งคนเป็นพ่อคืออดีตผู้นำประเทศที่เคยได้รับความนิยมสูงสุดจากประชาชน ถ้าไม่ใช้ประโยชน์จากมันสมองที่เคยประสบความสำเร็จจากการทำงานคงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งแพทองธารยังบอกด้วยว่า สมาชิกในสภาจะเรียกร้องให้ตนลาออกอย่างไรก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ แต่จะให้ตนลาออกจากความเป็นลูกสาวของทักษิณคงทำไม่ได้

บอกไว้แล้วว่า การก้าวเข้าสู่สนามการเมืองของลูกสาวคนเล็กสุดรักสุดหวงของนายใหญ่นั้นไม่ธรรมดา ทุกอย่างล้วนถูกบ่มเพาะ จนมั่นใจได้ว่าสามารถรับมือกับแรงกดดันต่าง ๆ ได้ ยิ่งบรรดาพวกเขี้ยวลากดินถ้าไม่นิ่งพอ ไม่มีทางที่จะรับมือได้ ถ้าฉายหนังซ้ำต้องยกเอาคำพูดของทักษิณที่บอกเองว่า หลายเรื่องแพทองธารยังตัดสินใจได้ดีกว่าตน และสไตล์การทำงานบางอย่างก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งอุ๊งอิ๊งก็ย้ำว่า วันอภิปรายพ่อส่งข้อความมา แต่ไม่ได้อ่านเพราะส่วนใหญ่ก็เหมือนความเห็นของประชาชนคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ยิ่งประเด็นการพักรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ การออกหมัดแย็บดักคอฝ่ายค้านล่วงหน้า ไม่รู้ว่าอภิปรายรัฐบาลไหน เพราะการเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยกระทั่งเข้าสู่กระบวนการทั้งหมด เกิดขึ้นในรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจทั้งสิ้น มิหนำซ้ำ ปมความเจ็บป่วยและการวินิจฉัยทั้งหมดอยู่ภายใต้การตัดสินใจของแพทย์ที่ไม่ว่าตนจะพูดอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ โดยทั้งหมดแพทยสภาอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ดังนั้น ควรต้องรอให้มีบทสรุปจะได้รู้กันให้ชัดว่าถูกผิดหรือไม่อย่างไร

อีกประการที่ทำให้การอภิปรายจี้จุดไปที่ปมชั้น 14 ไม่ได้รับความสนใจ คงเป็นเพราะด้านหนึ่งประชาชนรู้อยู่แล้วถึงการกลับประเทศของทักษิณว่ามาด้วยรูปแบบไหน อีกด้านเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ตามที่มีผู้ยื่นร้อง เหมือนที่ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ชี้แจง รังสิมันต์ โรม ที่อภิปรายประเด็นนี้ ที่โน้มน้าวอะไรมาทั้งหมด เป็นการสมมติเอาเอง ทุกอย่างใช้จินตนาการทั้งที่กระบวนการทำงานของฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่ากันด้วยระเบียบ และตัวบทกฎหมาย 

ต้องไม่ลืมว่าส่วนของกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์ผู้บริหารระดับสูง และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูลเพื่อเข้าให้การกับ ป.ป.ช. แต่ถึงตอนนี้ ป.ป.ช.ยังไม่เรียกไปให้ปากคำ เมื่อยืนยันแบบนี้ ทวีเลยถือโอกาสบลัฟกลับฝ่ายอภิปราย อย่าไปดูแคลน ป.ป.ช. อย่าเข้าใจว่าแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีความรู้ ไม่อยากให้ด้อยค่าคนอื่น ความจริงไม่มีอะไรเลย และเมื่อเรื่องเข้า ป.ป.ช. แม้แต่กรรมการ ป.ป.ช.ยังเอาเรื่องมาเปิดเผยไม่ได้ แต่วันนี้คนอภิปรายสมมติไปทั่ว

สรุปศึกซักฟอกหนนี้ไม่มีทีเด็ดทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งการปรับ ครม.อย่างที่แพทองธารให้สัมภาษณ์หลังรู้ผลโหวต “ยังไม่มีแผนที่จะปรับ” และได้บอกกับพ่อนายกฯ ไปแล้ว ส่วนใครจะวิ่งเต้นกันอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ ไม่ได้ปิดทางพรรคร่วมรัฐบาลหากจะขยับพร้อมรับฟัง ทั้งหมดต้องมาประเมินความเหมาะสมกันอีกครั้ง เห็นกันไปแล้วภาพความร่วมมือร่วมใจของพรรคร่วมรัฐบาลผ่านรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูงที่ช่วยชี้แจงแทนนายกฯ ในหลาย ๆ เรื่อง ยังยืนยันเหมือนเดิม รัฐบาลพลิกขั้วอยู่ยาว และยังมองไม่เห็นโอกาสที่จะเหยียบตาปลาหรือสะดุดขากันเอง

อรชุน

Back to top button