
1,000 จุด จะหลุดไหม
วานนี้ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงกันแรงมาก เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 31,136.58 จุด ลดลง 2,644 จุด เปลี่ยนแปลง -7.83% , เกาหลีใต้ ปิดที่ 2,328.20 จุด ลดลง 137.22 จุดู เปลี่ยนแปลง -5.57%,
วานนี้ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงกันแรงมาก
เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 31,136.58 จุด ลดลง 2,644 จุด เปลี่ยนแปลง -7.83%, เกาหลีใต้ ปิดที่ 2,328.20 จุด ลดลง 137.22 จุดู เปลี่ยนแปลง -5.57%, เซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ประเทศจีน ปิดที่ 3,096.58 จุด ลดลง 245.43 จุด เปลี่ยนแปลง -7.34%, ฮั่งเส็ง ฮ่องกง ปิดที่ 19,828.30 จุด ลดลง 3,021.51 จุด เปลี่ยนแปลง -13.22%
ไต้หวัน หรือ Taiwan Weighted ปิดที่ 19,232.35 จุด ลดลง 2,265.87 จุด เปลี่ยนแปลง -9.70%
สิงคโปร์ ปิดที่ 3,540.50 จุด ลดลง 285.36 จุด เปลี่ยนแปลง -7.46%
อินโดนีเซีย ปิดที่ 5,730.34 จุด ลดลง 780.28 จุด เปลี่ยนแปลง -4.44%
ส่วนตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดทำการ จะว่าโชคดี ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะปกติแล้ว หากของไทยเป็นวันหยุด แล้วหุ้นเอเชียร่วง พอในวันถัดมา เราเปิดทำการ ของเราจะร่วงตามหุ้นเอเชียของวานนี้ก่อน
แต่หากวันนี้ หุ้นเอเชียยังลงอีก
ก็มีความเป็นไปได้ที่ว่า ของเรานั้น อาจจะลงหนักกว่าเพื่อนบ้านในวันนี้
เมื่อวันศุกร์ที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปิด 1,125.21 จุด ลดลง 36.60 จุด เปลี่ยนแปลง -3.15%
สมมติว่าหากวันอังคารนี้ ดัชนีฯ -5% ดัชนีจะลงมาอยู่ที่ 1,069 จุด
หากลงมา -6% ดัชนีมาอยู่ที่ 1,058 จุด
และหาก -7% ดัชนีจะมาที่ 1,046 จุด (หลุดแนวรับทางเทคนิค)
ถามว่า หากดัชนีจะลงมาต่ำกว่า 1,000 จุด หุ้นไทยต้องติดลบเป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่
คำตอบคือ 12% หรือดัชนีจะมาอยู่ที่ 990 จุด
จากความเห็นของนักวิเคราะห์ล่าสุด ต่างมองกันว่า วันนี้มีโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับลงมาระหว่าง 4-7% หรือลงอย่างมากไม่น่าจะต่ำกว่า 1,040 จุด
ส่วนจะรีบาวด์ หรือเด้งกลับได้บ้างไหมนั้น ขึ้นอยู่กับผลการเจรจากับสหรัฐฯ
และรวมถึงมาตรการที่รัฐบาลจะเข้ามาช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ จะเป็นอย่างไร
แม้บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า หุ้นไทยลงมามากเกินไป และต่ำกว่าพื้นฐาน หรือ Fundamental แล้ว แต่อย่างว่าล่ะ นักลงทุนเขาก็คงปรับพอร์ตลดความเสี่ยงไว้ก่อน
เหตุผลเพื่อรอความชัดเจน ดูแนวโน้ม ดูตัวเลขจีดีพี ฯลฯ
หลังจากพอจะเริ่มเห็นความชัดเจน แล้วค่อยวกกลับเข้ามาซื้ออีกครั้ง
มีข้อมูลที่น่าสนใจจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนที่ออกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยผลสำรวจนั้น เกิดขึ้นก่อนที่ ทรัมป์จะประกาศเรื่องภาษี
นักลงทุนที่ยังคงสนใจซื้อหุ้นไทย มีคำแนะนำว่า ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ
- ค้าปลีก
- อาหารและเครื่องดื่ม
- การแพทย์
- เทคโนโลยีและการสื่อสาร
และให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ส่วน 4 หุ้น ที่นักวิเคราะห์แนะนำซื้อตรงกัน 4 โบรกฯ ขึ้นไป ประกอบด้วย
ADVANC คาดกำไรเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน
BDMS แรงหนุนจากคนไข้ชาวไทย และตะวันออกกลาง
CPALL พีอีเพียง 16 เท่า รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ
KTB งบดุลแกร่ง สินเชื่อส่วนใหญ่เป็นภาครัฐ หนี้เสียต่ำมาก
หันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนในช่วงหุ้นลงแบบนี้ แล้วคันมืออยากคลิ๊กขวา ลองเลือก 4 หุ้นนี้ดูก็ได้ ซึ่งน่าจะดีกว่าซื้อหุ้นแบบปาเป้า
ถึงเวลาหุ้นดีดกลับ กลุ่มพวกนี้น่าจะเด้งก่อน
ธนะชัย ณ นคร