
ตลาดหุ้นกับครม.
จับตาครม.ถกมาตรการรับมือกำแพงภาษีสหรัฐฯ เมื่อกระทรวงการคลังชงมาตรการลดค่าโอน-จำนอง หวังกระตุ้นอสังหาฯในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
จับตาครม.ถกมาตรการรับมือกำแพงภาษีสหรัฐฯ เมื่อกระทรวงการคลังชงมาตรการลดค่าโอน-จำนอง หวังกระตุ้นอสังหาฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ประเด็นที่ ครม.มีการหารือกัน คือ มาตรการที่เหมาะสมที่ไทยจะนำมาใช้เจรจาหรือตอบโต้ ภายหลังสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราที่สูงถึง 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้ และสร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีร่วงกราวเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในรอบนี้ หลายสถาบันด้านเศรษฐกิจต่างประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) และการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ได้ทำการหารือถึงสถานการณ์ความเสี่ยงกรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 เพื่อร่วมวางแนวทางให้เกิดบรรทัดฐานในการป้องกันและแก้ปัญหาให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น
วาระการพิจารณาที่น่าสนใจ เป็นน้ำเป็นเนื้อคือการที่กระทรวงการคลัง เสนอมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยมีแนวทางในการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง เหลือ 0.01% ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ
มาตรการนำมาใช้นี้ไม่เพียงพอที่จะรับมือกับ “พายุทะเลทราย” ที่เกิดขึ้นกับสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ค่อนข้างดุเดือดเลือดพล่าน ยิ่งล่าสุดสี จิ้นผิงออกมาประกาศว่าจีนจะต่อสู้จนหยดสุดท้ายกับมาตรการของสหรัฐฯ ด้วยแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องสนุกเเน่นอน
เรื่องราวของการตอบโต้มาตรการรับมือสงครามการค้าที่เกิดขึ้นน่าจะส่งผลเสียต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าเพราะต้องถูกเทขายโดยฟันด์โฟลว์กันเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง
เป็นมาตรการเชิงลึกที่ได้ผลช้ากว่าปกติเสมอมา ยิ่งในยามนี้หุ้นใหญ่ระดับบลูชิพยังถูกเทขายอย่างเมามันไม่สนใจว่าราคจะต่ำกว่าบุ๊ก แวลูแค่ไหนก็ตาม
ครม. คงไม่อาจเป็นความหวังของตลาดหุ้นได้เพราะว่าวิสัยทัศน์และเครื่องมือที่ใช้รับมือกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ายังช้าเกินกว่าสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรรมที่ยากเกินกว่านักการเมืองจะก้าวตามทันสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่จะดุเดือดเข้มข้นซึ่งน่าจะหยุดยั้งได้ยากหากว่าโดนัลด์ ทรัมป์และสี จิ้นผิงยังไม่ยอมหยุดยั้งในการงัดเอาเครื่องมือมาต่อกรกันไปเรื่อย ๆ
ปรากฏการณ์เมื่อช้างสารปะทะกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญจึงเป็นภาพรวมที่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยต้องเรียนรู้เพื่อป้องกันตัวเองมากกว่าฝากความหวังไว้ที่มติครม. ที่ไร้น้ำยาและขนมจีนในการ
รับมือกับสงครามการค้าขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน
วิษณุ โชลิตกุล