จาก DELTA มาถึง GULF

มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ “มาร์เก็ตแคป” ของหุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ลงมาอยู่ที่ 742,192 ล้านบาท


มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ “มาร์เก็ตแคป” ของหุ้น บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ลงมาอยู่ที่ 742,192 ล้านบาท (8 เม.ย. 68)

ต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ราคาหุ้นเคยขึ้นไปถึงระดับ 150-160 บาท

ทำให้มาร์เก็ตแคปของเดลต้าฯ ทะยานเกือบ 2 ล้านล้านบาท

ส่งผลให้การขึ้นลงของราคาหุ้นเดลต้าฯ มีอิทธิพลต่อดัชนีอย่างมาก เช่น ขึ้น/ลง 1 บาท ส่งผลต่อดัชนีกว่า 1 จุด

ขณะที่วานนี้หุ้นเดลต้าฯ ปิดตลาด บวก 0.50 บาท ปิด 60 บาท เปลี่ยนแปลง +0.84% แต่ไม่ติดอันดับหุ้นที่มีผลต่อการดันดัชนีใน 5 อันดับแรก

ส่วนหุ้นที่มีผลต่อการดันดัชนีวานนี้มากสุด คือ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF

ราคาหุ้นกัลฟ์ฯ ล่าสุด ปิดที่ระดับ 42.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นมีผลต่อดัชนี 2.7192 จุด

รองลงมาคือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ปิดที่ 50.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท ราคาหุ้นมีผลต่อดัชนี 1.8167 จุด

อันดับสาม บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ปิดที่ 119.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท มีผลต่อดัชนี 1.3619 จุด

อันดับสี่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ปิดที่ 23.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.60 บาท มีผลต่อดัชนี 1.089 จุด และอันดับห้า บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ปิดที่ 22.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท มีผลต่อดัชนี 0.7713 จุด

หากจะถามต่อว่า แล้วหุ้นตัวไหนที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุดในปัจจุบัน

คำตอบคือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT

ล่าสุด ปตท. มีมาร์เก็ตแคป 864,030 ล้านบาท หวนกลับขึ้นมาเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปอันดับ 1 อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ถูกเดลต้าฯ แซงขึ้นไป

ส่วนเดลต้าฯ แม้จะไม่ได้มีมาร์เก็ตแคปมากสุด

ทว่ายังคงอยู่อันดับสอง เพียงแต่ว่า มูลค่าการซื้อขาย ค่อย ๆ ปรับลดลงไปบ้างจากก่อนหน้านี้

กัลฟ์ฯ ปัจจุบัน มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 597,593 ล้านบาท (ณ ราคาปิด 8 เม.ย. 68) หรืออยู่อันดับ 3 หลังจากควบรวมกับ “อินทัช”

ขณะที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีมาร์เก็ตแคป 514,285 ล้านบาท อยู่เป็นอันดับ 4 (จากเคยมากสุด) หลังจากราคาหุ้นที่ปรับลงต่อเนื่อง 

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ว่า ก่อนหน้านี้ หุ้นเดลต้าฯ จะเป็นหุ้นที่ว่ากันว่า เอาไว้ “ทำดัชนี” หรือกำหนดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของดัชนีนั่นแหละ

แต่จากผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์

แวลูของราคาหุ้นที่ดูแพงเกินไป และสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้กองทุน หรือนักลงทุนสถาบันปรับพอร์ต ขายหุ้นออกมา และน่าจะเหลือเพียงกองทุนประเภท Passive Fund ยังคงถือต่อไป เพราะเป็นหุ้นอ้างอิงดัชนี SET50

มีการประเมินกันว่า บทบาทของหุ้นเดลต้าฯ ต่อการกำหนดเคลื่อนไหวของดัชนีจะค่อย ๆ ถูกลดลง

ส่วนหุ้นที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นคือ กัลฟ์ฯ

วานนี้ที่ราคาหุ้นกัลฟ์ฯ ปิดบวกขึ้นมาได้ 5%

ทำให้มาร์เก็ตแคป ณ ราคาปิดวานนี้ (42.25 บาท) ของกัลฟ์ฯ ขยับขึ้นมาที่ประมาณ 6.2 แสนล้านบาท 

สมมุติว่า หากราคาหุ้นกัลฟ์ฯ ขยับขึ้นมาที่ระดับ 50 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ว่ากันว่าหุ้นกัลฟ์ ไม่ควรจะต่ำกว่าระดับนี้

นั่นจะทำให้มาร์เก็ตแคปของกัลฟ์ฯ ขึ้นมาอยู่ประมาณ 7.4 แสนล้านบาท หรือเท่า ๆ กับมาร์เก็ตแคปของหุ้นเดลต้าฯ (หากราคาหุ้นเดลต้าฯ ไม่ขยับขึ้นไปอีก)

ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปกัลฟ์ฯ จะขึ้นมาอยู่อันดับสองรองจาก ปตท.

และเชื่อแน่ว่า อีกไม่นาน ราคาหุ้นของกัลฟ์ น่าจะค่อย ๆ ขยับขึ้นอย่างมีนัยฯ กระทั่งมีมาร์เก็ตแคปมากสุดของตลาดหุ้นได้ (หากราคาขยับขึ้นมาที่ระดับ 60-65 บาท)

ถึงเวลานั้น กัลฟ์ฯ จะพลิกขึ้นมาเป็นหุ้นที่มีบทบาทต่อการเคลื่อนไหวดัชนีฯ มากสุดทันที

และเชื่อว่ามีโอกาสสูงมาก

ธนะชัย ณ นคร

Back to top button