
CBG โอกาสมาเยือน.!
ข่าวใหญ่สะเทือนคอกาแฟทั้งหลายให้หาวกันครึ่งค่อนประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตลาดกลาง–ล่างที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟผงสำเร็จรูป
ข่าวใหญ่สะเทือนคอกาแฟทั้งหลายให้หาวกันครึ่งค่อนประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตลาดกลาง–ล่างที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟผงสำเร็จรูป เนสกาแฟ 3 in 1 รวมทั้งเนสกาแฟ กาแฟกระป๋องสำเร็จรูป ไปจนถึงตลาดพรีเมียมที่หลงใหลรสชาติกาแฟดำ เนสกาแฟ โกลด์ ล้วนโดนกันถ้วนหน้า…
ผลพวงจากกรณีศาลแพ่งมีนบุรี ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามมิให้เนสท์เล่ ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปโดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafe ในประเทศไทย หลังจากมีข้อพิพาทกับ “กลุ่มมหากิจศิริ” ภายใต้บริษัทร่วมทุนที่ชื่อบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ที่ถือหุ้น 50:50 โดยปัจจุบัน เนสท์เล่อยู่ระหว่างดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
โอเค…ใครผิดใครถูก…ไม่รู้ แต่ที่รู้คอกาแฟคงอดดื่มด่ำรสชาติเนสกาแฟไปสักพักใหญ่เลยแหละ จนกว่าศาลฯ จะมีคำสั่งเป็นอื่น…
ที่จริงเรื่องนี้มองได้ 2 มิติ…มิติแรก เป็นมิติทางการตลาด ซึ่งน่าสนใจ จากข้อมูลในปี 2566 เนสกาแฟมีส่วนแบ่งตลาดกาแฟสำเร็จรูปในประเทศไทยสูงถึงประมาณ 50-60% มีสินค้าครอบคลุมทั้ง 3 in 1, กาแฟดำ, กาแฟเย็นสำเร็จรูป นั่นเท่ากับว่าการถูกสั่งห้ามผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปแบรนด์ Nescafe จะกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจของกาแฟยี่ห้ออื่น ๆ ไปโดยปริยาย…
Shelf ที่ว่างลงจะถูกทดแทนด้วยกาแฟหลากหลายยี่ห้อ อาทิ เขาช่อง เบอร์ดี้ มอคโคน่า ซูเปอร์กาแฟ ฯลฯ และหากโฟกัสไปที่กาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม ซึ่งในปี 2567 มีมูลค่าตลาดราว 26,095 ล้านบาท มีเบอร์ดี้เป็นเจ้าตลาดจากส่วนแบ่งตลาด 52.3% อันดับ 2 เป็นเนสกาแฟ ส่วนแบ่งตลาด 36.9% ถัดมาเป็นคาราบาว ส่วนแบ่งตลาด 3.1% ส่วน Kopiko มีส่วนแบ่งตลาด 2.0% และอื่น ๆ ส่วนแบ่งตลาด 5.7%
แน่นอนว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เกี่ยวข้องกับกาแฟกระป๋องพร้อมดื่มมีอยู่แค่บริษัทเดียว นั่นคือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เจ้าของแบรนด์กาแฟกระป๋อง “คาราบาว”…ก็ไม่รู้ว่า CBG จะฉกฉวยจังหวะที่เบอร์ 2 เนสกาแฟสะดุดยังไง..?? จะสร้างมาร์เก็ตแชร์ได้เพิ่มหรือเปล่า..?? ขึ้นอยู่กับฝีมือแล้วล่ะ…
เอาเถอะ…แม้สัดส่วนการขายกาแฟกระป๋องอาจน้อยนิดเมื่อเทียบกับการขายเครื่องดื่มชูกำลัง…แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่มาเยือนของ CBG ต้องไขว่คว้าเอาไว้…ซึ่งหากทำได้ดี ไม่แน่ CBG อาจขึ้นเป็นเบอร์ 2 แทนเนสกาแฟไปเลยก็ได้…ใครจะไปรู้
เป็นช็อตที่ต้องติดตามกันต่อไป…
ส่วนอีกมิติ เป็นมิติทางสังคม เมื่อมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย เพราะเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ…ซึ่งคนที่เสียหายและได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง กลุ่มแรก…เป็นกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะปลูกกาแฟและเกษตรโคนมไทย ที่จะไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบให้เนสกาแฟได้
แล้วที่น่าตกใจ พบว่าในแต่ละปีเนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้าในปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมดที่ปลูกได้ในประเทศไทยเลยทีเดียว…
โอ้วมายก๊อด.! งั้นเกษตรกรชาวไร่กาแฟก็งานเข้าไม่ทันตั้งตัวน่ะสิ…
ถัดมาเป็นกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้าปลีกต่าง ๆ ทั่วประเทศที่จะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจำหน่ายอีกต่อไป ซึ่งอาจทำให้สูญเสียรายได้ไปบางส่วน รวมทั้งร้านกาแฟขนาดเล็ก รถเข็นขายกาแฟที่จะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจำหน่าย ครั้นจะปรับเปลี่ยนสูตรการชงและวัตถุดิบที่ใช้ อาจส่งผลต่อรสชาติที่เปลี่ยนไป ทำให้ลูกค้าซื้อน้อยลงก็ได้นะ…
ดู ๆ ไปเรื่องนี้กระทบในวงกว้างนะเนี่ย…
ก็ไม่รู้ว่า “กลุ่มมหากิจศิริ” จะรับรู้เรื่องเหล่านี้หรือเปล่า..??
ก็น่าจะรู้แหละ ส่วนจะรู้มากแค่ไหน..?? ก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่งานนี้คงเห็นคนไทยง่วงเหงาหาวนอนกันค่อนประเทศ เพราะไม่ได้ดื่มเนสกาแฟแหง ๆ…หง่าววว.!??
เอาล่ะ..ล่าสุดทรัพย์สินทางปัญญาจะมีคำสั่งให้เนสท์เล่สามารถจำหน่ายได้ทั่วประเทศ..แต่ด้วยความย้อนแย้งกับศาลแพ่งมีนบุรี..งานนี้สู้กันอีกยาว..!?
…อิ อิ อิ…