พาราสาวะถี อรชุน
ไม่ต้องไปถอดรหัสอะไรให้ยุ่งยาก “เขาอยากอยู่นาน” ที่หลุดมาจากปากของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หมายถึงใคร อยู่ในยุคพ.ศ.นี้แม้แต่เด็กอมมือยังอ่านออก ยิ่งตอกย้ำด้วยข้อเสนอที่ 16 ที่ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนแอบกระซิบเหมือนคราวคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดดอกเตอร์ปื๊ด น่าจะเป็นภาพสะท้อนของการเสพติดอำนาจได้เป็นอย่างดี
ไม่ต้องไปถอดรหัสอะไรให้ยุ่งยาก “เขาอยากอยู่นาน” ที่หลุดมาจากปากของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หมายถึงใคร อยู่ในยุคพ.ศ.นี้แม้แต่เด็กอมมือยังอ่านออก ยิ่งตอกย้ำด้วยข้อเสนอที่ 16 ที่ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนแอบกระซิบเหมือนคราวคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดดอกเตอร์ปื๊ด น่าจะเป็นภาพสะท้อนของการเสพติดอำนาจได้เป็นอย่างดี
การที่ปากบอกว่าอยากจัดเลือกตั้ง แต่บริบทของการเลือกตั้งยังขอใช้อำนาจพิเศษ แถมขอออปชั่นเสริมจากกรธ.ให้บังคับใช้ร่างรัฐธรรมนูญ 2 ขยัก ไม่แทงกั๊กเปิดหน้าเล่นมันก็เห็นกันจะจะ สิ่งที่เรียกร้องนั้นเพื่อความมั่นคงและสงบสุขของประเทศ หรือเพื่อบริหารอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของตัวเองให้เรียบร้อยและทอดยาวไปจนเป็นที่พอใจกันแน่
สัญญาณที่ส่งมาจาก ทักษิณ ชินวัตร สะท้อนภาพอะไรหลายๆ อย่าง และไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายกับการปฏิเสธของฝ่ายถือครองอำนาจพร้อมด้วยลิ่วล้อและเครือข่ายที่ยกมือเชียร์คณะรัฐประหาร แต่การเปรียบเปรยของ สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลเรื่องการวางแผนของทีมฟุตบอลนั้น ดูท่าจะเป็นตลกร้ายเอามากๆ
ตลกร้ายในที่นี้เพราะบ้านเมืองที่เผชิญวิกฤติมานานกว่า 10 ปีไม่ใช่ทีมฟุตบอล การบาดเจ็บล้มตายของขบวนการต่อสู้ไม่ว่าจะมีเป้าหมายเพื่อล้มระบอบทักษิณหรือกลุ่มที่ถวิลหาประชาธิปไตยที่แท้จริง เหมือนฝันร้ายของประเทศไทยแต่คือโลกแห่งความเป็นจริง การฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญถึง 2 หนในห้วงเวลาไม่ถึงทศวรรษน่าจะเป็นตลกที่ขำกันไม่ออก
แล้วจะไปเที่ยวบอกใครต่อใครว่าบ้านเมืองมีความขัดแย้ง เพราะนักการเมืองทุจริตคอร์รัปชั่น ความจริงของวิกฤติ (ที่ถูกสร้างขึ้น) จนนำมาซึ่งการรัฐประหารทั้งสองหน บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้มีมูลเหตุมาจากความเห็นที่แตกต่างของประชาชนสองฝั่งสองฝ่าย หากแต่มีเป้าหมายที่จะโค่นล้มคนที่ชื่อทักษิณและเครือข่ายให้สิ้นซากเท่านั้นเอง
พูดให้ชัดก็คือวิกฤติที่เกิดขึ้นเพื่อเปิดทางให้อำนาจพิเศษเข้ามาจัดการแท้ที่จริงก็คือ การก้าวไม่พ้นทักษิณ ยิ่งมองไปยังกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญยิ่งเห็นภาพชัดไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังสาละวนหาทางเขียนให้ไม่ถูกมองว่าเป็นเผด็จการ ล้วนแล้วแต่เป็นการร่างด้วยความกลัวทักษิณและเครือข่ายจะกลับมามีอำนาจทั้งสิ้น
บทสัมภาษณ์ของทักษิณต่อสื่อต่างประเทศเปรียบตัวเองเป็นหนูตัวเล็กๆ จึงไม่จำเป็นที่ผู้มีอำนาจจะต้องลงทุนเผาบ้านเพื่อฆ่าหนูอย่างตัวเอง เป็นภาพสะท้อนได้อย่างชัดเจน ที่น่าเจ็บใจมากไปกว่านั้นคือ การเผาบ้านทั้งสองครั้งยังจับหนูตัวเล็กๆ ตัวนั้นไม่ได้เสียที ในทางกลับกัน บ้านเมืองต้องตกอยู่ในสภาพสาละวันเตี้ยลงๆ
สถานการณ์เศรษฐกิจคิดไม่ออกบอกไม่ได้ว่าจะเดินไปอย่างไร การลงทุนขนาดใหญ่ที่ป่าวประกาศมาเกือบสองปีวันนี้ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ เมื่อปัจจัยภายนอกหวังพึ่งอะไรไม่ได้อย่างน้อยปัจจัยภายในต้องเป็นตัวกระตุ้นให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศไม่ลำบากยากเข็ญ ซึ่งมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้คนที่ยากไร้ คนไม่มีอันจะกินนับวันจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
การมัวแต่ไปแก้ปัญหาชีวิตของผู้มีอำนาจทั้งการบังคับให้นักข่าวถามได้ไม่เกินคนละ 4 คำถาม หรือการเสนอแกมบังคับให้กรธ.บัญญัติในบทเฉพาะกาลให้ร่างรัฐธรรมนูญบังคับใช้สองขยัก มองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากผู้มีอำนาจมองประเด็นการคงอยู่ของอำนาจของตัวเองสำคัญกว่าการแก้ปัญหาใหญ่ๆ ของบ้านของเมือง
แค่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียวยังมองไม่เห็นทางสว่าง ปัญหาทางการเมืองที่มุ่งใช้แต่พระเดชไม่มีคำว่าพระคุณ มันจึงยุ่งกันไปใหญ่ ขณะที่เรื่องกระบวนการบังคับใช้กฎหมายและให้ความเป็นธรรมยังคงเกิดคำถามตัวโตๆ จากที่เคยออกประกาศของผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้กระบวนการยุติธรรมเกิดการปฏิรูปเพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างวิกฤติบ้านเมือง ผ่านมานาทีนี้ดูจะเป็นอีกมุม
คำพูดที่ว่าความอยุติธรรมในนามกระบวนการยุติธรรมและกฎหมาย น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องสังเคราะห์ให้ตกผลึก มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะต้องนำเอาความเชื่อถือเชื่อมั่นต่างๆ เหล่านั้นกลับคืนมา เพราะหลายโอกาสหลายวาระที่มีผู้นำอ้างเรื่องความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย แต่ไม่เคยมีใครทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้น
ยิ่งเกิดภาวะความขัดแย้งยิ่งเห็นได้ชัดว่า หลักนิติรัฐ นิติธรรมนั้นถูกทำลายอย่างย่อยยับ ซึ่งก็เกิดจากน้ำมือของผู้คนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมเสียเอง ไม่ว่าจะใช้กฎหมายย้อนหลังในทางเป็นโทษ เปิดพจนานุกรมตัดสินคดีหรือแม้กระทั่งอ้างข้างๆ คูๆ เรื่องถนนลูกรัง สะท้อนภาพว่าผู้มีหน้าที่ผดุงไว้ซึ่งความเป็นธรรม กลับทำตัวเป็นผู้มีอคติหรืออยู่ภายใต้การครอบงำเสียเอง
เช่นเดียวกับกรณีปัญหาวงการสงฆ์ การยื้อเวลาตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ด้วยยกข้อขัดแย้งอันเกิดจากพระอาจารย์ที่เล่นการเมืองแบบเต็มตัวดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ต่อฝ่ายผู้มีอำนาจ ส่วนการอ้างเรื่องกระบวนการตรวจสอบสิ่งที่ผู้ได้รับการเสนอชื่อถูกร้องเรียนนั้น มีคำถามว่าคดีเกิดขึ้นมาหลายปีดีดักผู้รับผิดชอบไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมถึงเพิ่งมาขยันและรีบปิดคดีเอาในช่วงนี้
ฝ่ายหนึ่งยกเอาหลักธรรมวินัยมาใส่ร้ายกล่าวหา ขณะที่อีกฝ่ายก็ยืนยันในกฎของสงฆ์และกฎหมายบ้านเมือง ส่วนผู้มีอำนาจก็น้ำท่วมปากเพราะได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของอีกฝ่ายหนึ่งไว้แล้วถึงขั้นประกาศตัดขาดกันทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามข้อเรียกร้องของพระการเมืองที่ถึงขั้นท้าเดิมพันต่างๆ นานา นั่นหมายความว่า ผู้มีอำนาจกำลังจะใช้จีวรสกปรกแปดเปื้อนไปเช็ดจีวรอื่นให้สะอาดอย่างนั้นหรือ
ยุทธจักรดงขมิ้น กำลังจะสิ้นมนต์ขลัง ด้วยน้ำมือของหลวงพี่เหยียบกรวยกับลิ่วล้อที่มีอำนาจบาตรใหญ่จากการลากตั้งของการรัฐประหารสองครั้งล่าสุด บ้านเมืองวันนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน เพราะถึงขั้นที่ฝ่ายความมั่นคงขายข่าวจะมีพระแอบชุมนุม มันไปกันใหญ่แล้ว นี่แหละสัจธรรมที่ว่าถ้าไม่ยึดหลักการเอาแต่หลักกูและพวกกู ชะตากรรมของประเทศย่อมมีแต่หนทางวิบัติเท่านั้นที่รออยู่ข้างหน้า เจริญพร!