
‘สี จิ้นผิง’ เยือน 3 ประเทศอาเซียน
สัปดาห์นี้ (14-18 เม.ย.) ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” มีกำหนดเดินทางเยือน “เวียดนาม-มาเลเซียและกัมพูชา” ถือเป็นภารกิจเยือนต่างประเทศครั้งแรกปีนี้
สัปดาห์นี้ (14-18 เม.ย.) ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” มีกำหนดเดินทางเยือน “เวียดนาม-มาเลเซียและกัมพูชา” ถือเป็นภารกิจเยือนต่างประเทศครั้งแรกปีนี้ การเลือกเปิดฉากด้วยประเทศเพื่อนบ้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนให้เห็นถึงการเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างประเทศ
หนึ่งในไฮไลต์สำหรับการเยือนครั้งนี้คือ “ประเทศเวียดนาม” หลังจาก “สี จิ้นผิง” เรียกร้องให้กระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทานกับเวียดนาม ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการเข้าร่วมการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกว่า 45 ฉบับ ระหว่าง 2 ชาติคอมมิวนิสต์ ที่กรุงฮานอยของเวียดนาม
การเยือนครั้งนี้มีการวางแผนอยู่หลายสัปดาห์ ที่สำคัญมีขึ้นขณะที่รัฐบาลปักกิ่งกำลังเผชิญกับภาษีศุลกากร 145% ของสหรัฐฯ ขณะที่ “เวียดนาม” กำลังเจรจาเพื่อขอลดภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ 46% ที่อาจมีผลบังคับใช้ช่วงเดือนก.ค. หลังจากสิ้นสุดการระงับการบังคับใช้ทั่วโลก
“สี จิ้นผิง” ระบุว่า “ทั้ง 2 ฝ่ายควรเสริมสร้างความร่วมมือในการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้มีการค้ามากขึ้นและกระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลฮานอยในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจสีเขียว
หลังจาก “สี จิ้นผิง” พบกับ “โต ลัม” ประธานาธิบดีเวียดนาม ทั้ง 2 ประเทศได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือหลาย 10 ฉบับ รวมถึงข้อตกลงในการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานและความร่วมมือด้านทางรถไฟ ตามภาพจากเอกสารที่สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ตรวจสอบ ในเวลาต่อมาสื่อทางการจีนและเวียดนาม รายงานว่า “มีการลงนามข้อตกลง 45 ฉบับ”
อย่างไรก็ดีไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาของข้อตกลงดังกล่าว และไม่ชัดเจนว่าข้อตกลงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับข้อผูกพันทางการเงิน หรือข้อผูกมัดอื่น ๆ ด้วยหรือไม่
จากภายใต้แรงกดดันจากรัฐบาลทรัมป์ เวียดนามกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการค้าบางส่วนกับจีน เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ติดป้าย Made in Vietnam จะเพิ่มมูลค่าเพียงพอให้กับเวียดนาม ในการพิสูจน์ความถูกต้องได้..
ขณะที่ “สี จิ้นผิง” ระบุว่า “ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้าและสงครามภาษี” ต่อมาการประชุมกับนายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋ง (Pham Minh Chinh) ของเวียดนาม เพิ่มเติมอีกว่า “จีนและเวียดนามควรต่อต้านการกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว”
กลับมาที่บันทึกความเข้าใจฉบับหนึ่ง ที่มีการลงนามมีขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีนและหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม ในฐานะเป็นผู้ออกใบรับรองเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของสินค้าต่าง ๆ
ปัจจุบัน “เวียดนาม” ถือเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการประกอบการสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการนำเข้าส่วนใหญ่มาจากจีนและสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลัก
ข้อมูลกรมศุลกากรเวียดนาม ระบุว่า “เวียดนาม” เป็นแหล่งผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, รองเท้าและเครื่องแต่งกาย ที่สำคัญของสหรัฐฯ ช่วงไตรมาส 1/68 รัฐบาลฮานอย นำเข้าสินค้าประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรัฐบาลปักกิ่ง
ขณะที่การส่งออกจากจีนไปสหรัฐฯ มีมูลค่า 3.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการยืนยันถึงแนวโน้มระยะยาว การนำเข้าจากจีน มีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
เป็นที่น่าจับตาอีก 2 ชาติที่เหลือคือ มาเลเซียและกัมพูชา จะได้เห็นการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านใดบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ก้าวย่างของ “สี จิ้นผิง” ครั้งนี้..ล้ำลึกไม่ธรรมดาแน่นอน..!!!