
พาราสาวะถี
ไม่ได้ถอดใจแต่อาจเรียกว่าเป็นการ “ถอยแบบยาว ๆ” สำหรับร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาล
ไม่ได้ถอดใจแต่อาจเรียกว่าเป็นการ “ถอยแบบยาว ๆ” สำหรับร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของรัฐบาล แม้ว่า แพทองธาร ชินวัตร ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะสั่งให้ สส.ลุยชี้แจงกับประชาชน เป็นเพียงบทบาทที่จะต้องแสดงเพื่อแก้อาการเสียหน้า จากที่จะดันให้เป็นวาระเร่งด่วนผ่านการประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อนปิดสมัยประชุมที่ผ่านมา ดูอาการของแกนนำพรรคส่วนใหญ่เห็นได้ชัดว่าโล่งใจมากกว่าไม่พอใจที่พรรคภูมิใจไทยทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองอีกกระทอก
หากจะมองเป็นเรื่องขัดใจก็คงไม่ผิด แต่ไม่ใช่ประเด็นที่จะทำให้ขัดหูขัดตา จนนำไปสู่ความขัดแย้ง อย่างที่ ทักษิณ ชินวัตร บอกไว้อยู่ในวิสัยที่คุยกันได้ นั่นหมายความว่าไม่มีปัญหา น่าจะเป็นการดีเสียด้วยซ้ำ เพราะในจังหวะที่ได้ทบทวน ทำความเข้าใจตามภาษาสวยหรูทางการเมืองที่หยิบยกมาเป็นเหตุผลประกอบการถอยนั้น นายใหญ่กับลูกสาวควรจะใช้จังหวะนี้พิจารณาผลงานที่ผ่านมาว่าอะไรที่ได้ทำไปแล้วประชาชนประทับใจ สิ่งไหนที่เร่งด่วนซึ่งกำลังจะทำเพื่อแก้วิกฤตให้บ้านเมือง
มาตรการจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เห็นผลเป็นรูปธรรม การคุมเข้มชายแดนสกัดยาเสพติดผ่านนโยบาย Seal Stop Safe ที่เพิ่งผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงาน 2 เดือนแรกได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และได้รับคำชมจากคนส่วนใหญ่ รวมไปถึงการแจกเงินหมื่นที่แม้จะกระท่อนกระแท่น แต่คนก็ยังสนับสนุน เช่นเดียวกับการจัดงานสงกรานต์ที่มีเสียงชื่นชมเป็นวงกว้าง เหล่านี้คือผลงานที่สามารถเคลมสร้างคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
ดีกว่าจะดันทุรังที่ไม่เพียงแต่จะเผชิญกับการคัดค้านจากพรรครัฐบาลผสม ยังจะทำให้พวกขาประจำที่รอจังหวะมีประเด็นเร้ากระแส ปลุกม็อบต้านรัฐบาลได้อีก ประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีตที่นำไปสู่การล้มรัฐบาลทักษิณจากปมขายหุ้นชินคอร์ป จนถึงยุค ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีจุดตั้งต้นด้วยเรื่องร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย เหล่านี้เชื่อว่านายใหญ่น่าจะสรุปบทเรียนเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก นั่นจึงเป็นเหตุให้พ่อนายกฯ บอกกับนักข่าว ไม่ทันรัฐบาลนี้ทำต่อสมัยหน้าได้ ยอมแตะเบรกไม่ต้องเหยียบคันเร่ง
พิจารณาจากจังหวะก้าวของนายกฯ หญิง นับตั้งแต่รับตำแหน่ง จะเห็นได้ว่าเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากหนนี้เป็นเกมเดิมพันแบบหมดหน้าตักของครอบครัวชินวัตร ลูกผู้ทำหน้าที่กุมอำนาจฝ่ายบริหารจึงต้องคุมเกม สร้างสมดุลภายในของรัฐบาลผสมให้ได้ ส่วนการเมืองเป็นเรื่องผู้ใหญ่ต้องคุยกัน การประกาศศักดาความเป็นลูกเนวินของ ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยกลางสภา มองอีกด้านเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นกลเกมของรัฐบาลชุดนี้ถูกชี้นำ กำกับโดยกุนซือของทั้งสองพรรคร่วมสำคัญ
อีกนัยหนึ่งอาจมองว่าเป็นการข่มกันหรือทำให้เห็นพรรคอันดับสองของรัฐบาล มีอำนาจต่อรองที่มากกว่า การส่งซิกเรื่องอาจไม่มีสมัยประชุมหน้าของ ภราดร ปริศนานันทกุล ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นี่เป็นการท้าทายมีปัญหากันมากนักก็ยุบสภาไปให้รู้แล้วรู้รอด ทั้งที่ความจริงรู้กันอยู่เต็มอก หย่อนบัตรกันในจังหวะนี้มีหวังกอดคอตายหมู่ ประกอบกับนายใหญ่เพิ่งให้สัมภาษณ์ไป ยังไงรัฐบาลชุดนี้ก็อยู่ครบเทอม แต่อย่าย่ามใจว่ากดได้อยู่หมัด ประสาคนที่ถูกกระทำมาเยอะระวังจะโดนเอาคืนแบบทบต้นทบดอก
อย่างไรก็ตาม ความโชคดีของพรรคสีน้ำเงินที่ปล่อยให้ลูกเนวินประกาศปาว ๆ ค้านร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ได้เป็นท่าทีที่โดดเดี่ยว หรือมีเพียงพรรคเดียวที่สร้างปัญหาตลอด ทว่า พรรคร่วมอีกพรรคที่ไม่สบายใจต่อเรื่องนี้คือ ประชาชาติ ภายใต้การกุมบังเหียนของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา เพราะหากเดินหน้ากันแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ในฐานะพรรคที่มีฐานเสียงสำคัญอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นพี่น้องมุสลิมผู้เคร่งครัด การร่วมผลักดันร่างกฎหมายที่มีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมตกเป็นเป้าโจมตี และมีโอกาสจะพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งได้ง่ายดาย
การตีเนียนโดยยกหัวโขนความเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ขอออกความเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นเพียงมารยาททางการเมืองเท่านั้น ความจริงคือไม่อยากให้มีการเดินหน้าอย่างน้อยก็ให้ผ่านพ้นการเลือกตั้งครั้งหน้าไปก่อน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องถามต่อว่า เปิดประชุมสภาสมัยหน้าจะมีการเร่งพิจารณาเรื่องนี้เลยหรือไม่ ขณะที่ความเห็นไม่ลงรอยผ่านการให้สัมภาษณ์ของแกนนำและ สส.เพื่อไทยกับภูมิใจไทย ถือเป็นปกติของฝ่ายนิติบัญญัติ สุดท้าย เมื่อผู้ใหญ่คุยกันจบ เคลียร์กันได้ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่
ส่วนการกำหนดเกมเพื่อเบี่ยงกระแสที่มีความพยายามจุดพลุความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลนั้น นายใหญ่จะใช้เรื่องระหว่างประเทศมาเป็นตัวขับเคลื่อน ปัญหาสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีมหาโหด ก็ถูกเกาะติดกันอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของ อันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซียที่พกความเป็นประธานอาเซียน ซึ่งทักษิณรับบทบาทที่ปรึกษาด้วยนั้น การเป็นเจ้าภาพเลี้ยงรับรองที่โรงแรมโรสวูดในนามที่ปรึกษาประธานอาเซียน โดยมี มิน อ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาร่วมโต๊ะด้วยนั้น ย่อมถูกจับตามอง
ท่ามกลางการคัดค้านของบรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และการเมืองระหว่างประเทศที่ไม่เห็นด้วยตั้งแต่การที่รัฐบาลไทยเชิญผู้นำเมียนมามาร่วมประชุม BIMSTEC แล้ว การพบปะกันหนนี้ย่อมหลีกหนีเสียงวิจารณ์ไม่พ้น แต่หากมองไปในบริบทความเป็นประธานอาเซียน นั่นย่อมมีทางลงที่ว่า เป็นการประสานงาน พูดคุยเพื่อให้มิน อ่องหล่าย ยอมรับในกระบวนการของอาเซียนเพื่อทำให้เกิดสันติภาพ และนำไปสู่การเลือกตั้งที่ถูกต้องในเมียนมา
การแสดงบทบาทของทักษิณผ่านเวทีระหว่างประเทศ ย่อมปรากฏเป็นข่าวและสามารถช่วงชิงพื้นที่สื่อได้ ที่สำคัญไม่ต้องตกเป็นขี้ปากว่าครอบงำ ชี้นำรัฐบาล เพราะเป็นการใช้หัวโขนที่ปรึกษาประธานอาเซียนในการขับเคลื่อน แต่ทั้งหมดหากผลการเจรจานำไปสู่ความสำเร็จ ย่อมจะเกิดผลดีกับประเทศไทยและรัฐบาลแพทองธารย่อมได้รับเครดิตไปโดยปริยาย ท่ามกลางการเมืองภายในรัฐบาลผสมที่ลูกล่อลูกชนแพรวพราวหวังจะบีบพรรคแกนนำนั้น จำเป็นที่นายใหญ่ต้องแสดงพลังให้เห็นว่ามีลูกเล่นที่เหนือชั้นกว่า
อรชุน