
มอง SET แกว่งตัวผันผวนและการซื้อขายจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง
InnovestX มองว่า แม้เศรษฐกิจจีนจะแสดงความแข็งแกร่งในไตรมาสแรก แต่สถานการณ์จะเลวร้ายลงตั้งแต่เดือน เม.ย. เป็นต้นไป
InnovestX มองว่า แม้เศรษฐกิจจีนจะแสดงความแข็งแกร่งในไตรมาสแรก แต่สถานการณ์จะเลวร้ายลงตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นต้นไป เนื่องจากผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ โดยข้อมูลการขนส่งสินค้าล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวของปริมาณสินค้าที่ผ่านท่าเรือจีน เช่นเดียวกับการจองตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลกระหว่างวันที่ 1-8 เมษายนลดลง 49% และการนำเข้าของสหรัฐฯ ลดลง 64% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ InnovestX ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของจีนในปี 2568 ลงเหลือ 3.6% โดย InnovestX มองว่า รัฐบาลจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ย การกู้ยืมและใช้จ่ายทางการคลังเพิ่มเติม และการสนับสนุนผู้ส่งออก
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นกำลังผลักดันให้ตลาดยุโรปกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของสินค้าส่งออก เนื่องจากยุโรปและประเทศที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสัดส่วนถึง 44% ของ GDP โลกและ 64% ของการค้าโลก จีนที่กำลังถูกปิดกั้นจากตลาดสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเบี่ยงเป้าการส่งออกมูลค่ามหาศาลไปยังยุโรป ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย รวมถึงไทย ก็มองหาโอกาสเดียวกัน ยุโรปจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจว่าจะเปิดรับการไหลบ่าของสินค้าจากเอเชียหรือจะตั้งกำแพงการค้าเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ
InnovestX มองว่ายุโรปมีแนวโน้มจะเลือกทางสายกลาง โดยจะเปิดเจรจาการค้าเสรีกับประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างไทยและชาติอาเซียนอื่น ๆ ขณะที่อาจใช้มาตรการกีดกันบางส่วนกับจีนเพื่อป้องกันการทุ่มตลาด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่อ่อนไหว เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ประเทศไทยและผู้ส่งออกในภูมิภาคจึงควรเร่งเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรปให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ก่อนที่ยุโรปจะตัดสินใจใช้มาตรการปกป้องทางการค้าในวงกว้างเพื่อรับมือกับการไหลบ่าของสินค้าจากเอเชีย
ส่วนตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET ยังแกว่งตัวผันผวนและการซื้อขายจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่มีต่อประเทศคู่ค้า รวมทั้งยังต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้นจะส่งผลกดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและบรรยากาศการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ขณะที่ในประเทศมองยังไร้ปัจจัยบวกใหม่และอยู่ระหว่างจับตาการเข้าเจรจาทางการค้าของรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งคาดข้อสรุปอาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 2 ธีมหลักและ 1 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
- หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) ฐานะการเงินแกร่ง และ 3) จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 3% พบหุ้นน่าสนใจ SET50 ได้แก่ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, PTT และ SET100 ได้แก่ BCH, BTG
- หุ้น Undervalued ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ PER และ PBV 68F ระดับต่ำกว่า -1SD และมี SET ESG Rating ระดับ A-AAA ขณะที่ปี 2568 คาดกำไรยังเติบโตได้ดี YoY และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง อีกทั้งมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2568 อย่างน้อยปีละ 3% แนะนำ BJC, CPF, AP, HMPRO, OR
- Trading Idea : นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ได้แก่ BCH, CPALL, CPAXT, GULF, MTC, OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐฯ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร
ณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล