PRIME สม (ไม่) ประสงค์แล้ว.!

จากบทเรียนบัญชีมาร์จิ้นที่เกิดกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ PRIME ในช่วงปลายปีที่แล้ว จนโบรกเกอร์ต้องยึดหุ้นและนำออกมาประกาศเร่ขายทอดตลาด


จากบทเรียนบัญชีมาร์จิ้นที่เกิดกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME ในช่วงปลายปีที่แล้ว จนโบรกเกอร์ต้องยึดหุ้นและนำออกมาประกาศเร่ขายทอดตลาด กลายเป็นแผลติดเชื้อที่ยังรักษาไม่หาย…เพราะล่าสุดมีการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารอีกแล้วครับท่านนน…

โดยแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของผู้บริหาร (แบบ 59) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พบว่า เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2568 “สมประสงค์ ปัญจะลักษณ์” ซึ่งสวมหมวกสองใบ เป็นทั้งผู้บริหาร (ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ) และผู้ถือหุ้นใหญ่  PRIME นามนิติบุคคล ซึ่งผู้จัดทำรายงาน คู่สมรสหรือผู้ที่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละ 30 ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมด และมีสัดส่วนการถือหุ้นมากที่สุด (บริษัท ไพร์ม โร้ด แคปปิตอล จำกัด) ได้ทำธุรกรรมขายหุ้นจำนวน 100 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.35% ที่ราคาหุ้นละ 0.0404 บาท รวมมูลค่า 4.04 ล้านบาท โดยทำรายการผ่าน บล.จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย)

ส่งผลให้ “สมประสงค์” เหลือถือหุ้น 572.18 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 13.45% จากเดิมถือหุ้น 672.18 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15.80%

ก็น่าคิด การขายหุ้นครั้งนี้เป็นการถูกบังคับขาย หรือ “ฟอร์ซเซล” อีกป๊ะเนี่ย..??

เนื่องจากเคยมีวีรกรรมให้โจษจันกันมาแล้ว เมื่อครั้งที่โบรกเกอร์นำหุ้น PRIME มาขายทอดตลาด ซึ่งเป็นหุ้นที่ยึดมาจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ หนึ่งในนั้นเป็นหุ้นที่ถือโดยบริษัท ไพร์ม โร้ด แคปปิตอล จำกัด จำนวน 672.18 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 15.80%

ครั้นพอสาวลึกลงไป บริษัท ไพร์ม โร้ด แคปปิตอล ก็ไม่ใช่บริษัทของนาย ก. นาย ข. ที่ไหน แต่เป็นของ “สมประสงค์” นั่นแหละ

ส่วนการขายหุ้นครั้งนี้จะตั้งใจหรือเป็นภาวะจำยอม..?? มีแค่ “สมประสงค์” ที่รู้ดีอยู่แก่ใจ…

เอ๊ะ…หรือ “สมประสงค์” จะสม (ไม่) ประสงค์กับหุ้น PRIME ซะแล้ว…เลยทยอยขายหุ้นออกมา

เพราะถ้าไปส่องปัจจัยพื้นฐานของ PRIME ก็น่าเป็นห่วง ก่อนหน้านี้เพิ่งตัดขายท่อน้ำเลี้ยงบริษัท นั่นคือการขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไต้หวัน รวม 7 บริษัท ขนาดกำลังการผลิตรวม 49.54 เมกะวัตต์ รวมมูลค่า 458.42 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 476.761 ล้านบาท ไปหยก ๆ

มิหนำซ้ำ ผู้สอบบัญชีได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับธุรกรรมดังกล่าว 1) PRIME อนุมัติให้บริษัทย่อยขายหุ้น 7 บริษัทย่อย เป็นเงิน 475 ล้านบาท โดยโอนหุ้นให้ผู้ซื้อแล้ว ในขณะที่ได้รับชำระเงิน 27% ของมูลค่าขายเท่านั้น และ 2) กลุ่มบริษัทจ่ายเงินล่วงหน้าค่าหุ้นแทนบุคคลที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทย่อย 22 ล้านบาท ต่อมามีการฟ้องร้องกัน ดังนั้นจะได้รับคืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลการตัดสินคดีของศาล

เลยเป็นที่มาให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งให้ PRIME ชี้แจงเกี่ยวกับธุรกรรมดังกล่าว…ส่วนชี้แจงแล้วจะฟังขึ้นหรือเปล่า..?? ไม่รู้ ๆ ๆ

หันไปดูสถานะการเงินก็ง่อนแง่น ปัจจุบันมีหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน 2,197 ล้านบาท และมีตัวเลขขาดทุนสะสม 723 ล้านบาท โดยในเดือน ก.ค.และเดือน ธ.ค. 2568 มีหุ้นกู้ที่จะต้องชำระรวม 670 ล้านบาท รวมทั้งในปี 2568 ยังมีเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่ต้องชำระรวม 310 ล้านบาท อีกต่างหาก

ดูสถานการณ์ของ PRIME จะบีบคั้นขึ้นเรื่อย ๆ นะเนี่ย…ดีหน่อยที่หุ้นกู้ 4 รุ่น ที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2568 ได้แก่ รุ่น PRIME253B, PRIME253A, PRIME25DA และ PRIME25DB ผู้ถือหุ้นกู้เพิ่งไฟเขียวให้ยืดหนี้ออกไป…ไม่งั้นคงแย่กว่านี้

“ไม่รอด ไม่รอดหรอก…ไม่รอด ไม่รอด ไม่รอด…อาการน่าเป็นห่วง ใคร ๆ เขาก็เตือน”

อุ๊ย…ใครเปิดเพลงจี้ใจดำเนี่ย..!!

…อิ อิ อิ…

Back to top button