ขุมทรัพย์เนสท์เล่ : ใครได้ใครเสีย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า บันทึกผลการดำเนินงานของ เนสท์เล่ (ไทย) และ ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส (คิวซีพี) ช่วงระหว่างปี 2562-2666 ปรากฏว่าทั้งบริษัทผู้จ้างและผู้รับจ้างผลิต “เนสกาแฟ” ต่างมีผลกำไรงดงามด้วยกันทั้งคู่


ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า บันทึกผลการดำเนินงานของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) และบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส (คิวซีพี) ช่วงระหว่างปีดำเนินงาน (2562-2666) ปรากฏว่าทั้งบริษัทผู้จ้างและผู้รับจ้างผลิต “เนสกาแฟ” ต่างมีผลกำไรงดงามด้วยกันทั้งคู่

เนสท์เล่ (ไทย) ผู้ว่าจ้าง ยังมีผลกำไรน้อยกว่า บริษัทรับจ้าง QCP เสียด้วยซ้ำ จำเป็นจะต้องดูงบการการเงินทั้ง 2 ตัวนี้ เพื่อจะได้รู้ว่าผลประโยชน์จะตกแก่ใครบ้าง

ในช่วงระหว่างปี 2562-2566 เนสท์เล่ (ไทย) มียอดขายระดับ 5.0-5.7 หมื่นล้าน ส่วนกำไรก็ได้แค่ระดับ 2.3-2.7 พันล้านบาท อัตราส่วนกำไรสุทธิน้อยกว่า 5% ขายเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ เนสท์เล่ก็รับไป

ส่วนยอดขายและกำไรของคิวซีพี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมกับเนสท์เล่นี่สิ! คุณประยุทธรับส่วนแบ่งผลกำไร 50% ไปทุกปี บวก+บวกกับส่วนแบ่ง 1% ของยอดขาย ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน ค่าตอบแทนประจำปีกรรมการในฐานะประธานบริษัท และอื่น ๆ

ยอดขายช่วงปี 2562-66 ของ QCP วิ่งอยู่ในระดับ 1.5-1.7 หมื่นล้านบาท กำไรก็อยู่ในระดับ 3.3-3.7 พันล้านบาท หากคิดในปี 2564 ซึ่ง QCP มีกำไรสูงสุด 3,704,923,224 บาท คุณประยุทธก็จะมีส่วนแบ่งผลกำไร 1,852.46 ล้านบาท

ส่วนแบ่ง 1% จากยอดขาย 15,454,985,256 บาทในปีนั้น คุณประยุทธก็จะได้ส่วนแบ่งอีกประมาณ 154 ล้านบาท คิดรวม ๆ แล้วก็ประมาณ 2,000 ล้านบาท

นี่ก็ยังไม่นับรวมกับเงินเดือนในฐานะประธานบริษัท+ค่าตอบแทนประจำปีกรรมการ+เงินบริจาคมูลนิธิฯ ปีละ 36+ล้านบาท+รถประจำตำแหน่ง ราคาแพงที่สุด ซึ่งเมื่อก่อนเป็นเมอร์เซเดส เบนซ์ เอส-คลาส กำหนดเปลี่ยนทุก 4 ปี

แต่เดี๋ยวนี้ เปลี่ยนเป็นเบนท์ลีย์ ซึ่งมีข่าวลือว่าท่านประธานฯ ใช้รถสัญชาติผู้ดีอังกฤษยี่ห้อนี้อยู่ 3 คัน ยังไม่รู้ว่าจะส่งมอบคืนกันประการใด

รายได้และผลประโยชน์จากการเป็นบริษัทรับจ้างหรือ OEM ของคุณประยุทธก็มีประมาณนี้ ซึ่งในความเป็นจริง อาจจะแก่อ่อนต่ำกว่านี้ก็เป็นไปได้

แต่ทั้งหมดคงตรวจสอบข้อเท็จจริงได้จากงบดุลบัญชีนั่นแหละ หากคุณประยุทธมีรายได้ปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท 34 ปี ที่คุณประยุทธร่วมการงานกับเนสท์เล่ ในฐานะบริษัท OEM แบบพรีเมียม ก็ต้องว่ากันไปถึงระดับ 5-6 หมื่นล้านบาทเชียวล่ะ

แต่หากเป็นรายได้แค่ปีละ 1,000 ล้าน ก็ 3.4 หมื่นล้านบาท หาก 1,500 ล้านบาทต่อปี ก็คงย่อมเยาลงมาแค่ 5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

เขาร่ำลือกันในแวดวงพ่อค้าว่า คุณประยุทธทำธุรกิจมาหลายอย่าง ทั้งไทยฟิล์ม ไทยคอปเปอร์ การเดินเรือ ฯลฯ แต่ไม่มีธุรกิจใดจะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยได้เท่ากับการทำธุรกิจกับเนสท์เล่

แม้เป็นแค่บริษัทรับจ้างหรือโออีเอ็มแบบพิเศษเท่านั้น

ก็คงจะตอบคำถามพอสังเขปได้กระมังว่า ข้อพิพาทเนสท์เล่:ใครฆ่าใคร และใครได้ใครเสีย

ชนวนพิพาท อาจจะเกิดขึ้นจากฝ่ายหนึ่งจะจ่ายรักษาน้ำใจแค่ 3 หมื่นล้านบาท แต่อีกฝ่ายหนึ่งปรารถนา 1 แสนล้านบาท จึงพานพบประสบกันได้ยาก

ผมเองก็ไม่เกี่ยวด้วยกรณีฝรั่งโกงหรือถูกโกง แต่ผมห่วงชะตากรรมชาวไร่กาแฟ ที่เนสท์เล่เป็นผู้รับซื้อผลกาแฟสดกว่าครึ่งของผลผลิตทั้งประเทศ จากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลฯ ครับ

ชาญชัย สงวนวงศ์

Back to top button