
พาราสาวะถี
เก้าโมงเช้าวันนี้ (28 เมษายน) แพทองธาร ชินวัตร พร้อมคณะจะบินจาก บน.6 ดอนเมือง ไปลงสนามบินกองทัพบกค่ายกฤษณ์สีวะรา อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
เก้าโมงเช้าวันนี้ (28 เมษายน) แพทองธาร ชินวัตร พร้อมคณะจะบินจาก บน.6 ดอนเมือง ไปลงสนามบินกองทัพบกค่ายกฤษณ์สีวะรา อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เพื่อติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่บึงหนองหาร และการบริหารจัดการน้ำ สวนสาธารณะดอนเกิน ตำบลท่าแร่ อำเภอเมืองสกลนคร ก่อนที่จะเดินทางต่อไปจังหวัดนครพนมในช่วงบ่าย มีวาระสำคัญคือ เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหายาเสพติดข้ามแดนในพื้นที่ ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงนครพนม
ในช่วงค่ำวันเดียวกัน เดินทางไปสักการะพญาศรีสัตตนาคราช และจุดเรือไฟบกที่ลานพนมนาคา ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จากนั้นวันรุ่งขึ้นจะเป็นประธานการประชุม ครม.สัญจร ที่หอประชุมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยนครพนม หลังถก ครม. จะไปเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนในพื้นที่ที่ด่านศุลกากรนครพนม ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ เรียกว่ายังคงชีพจรลงเท้าต่อเนื่อง แม้ว่าเพิ่งจะเข้าแอดมิตโรงพยาบาลหลังจากเดินทางกลับจากกัมพูชาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เข้าใจได้ว่าภาระที่แบกอยู่บนบ่านั้นหนักอึ้ง ถ้าไม่ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ก็จะใช้พลังมหาศาลในการลุยงานหนัก เพื่อเร่งผลิตผลงานให้เป็นที่ประจักษ์โดยเร็ว ไม่เพียงแต่ความเป็นคนรุ่นใหม่ ต้องการแสดงศักยภาพ ทำให้คนเห็นถึงความสามารถในการบริหาร ด้วยความเป็นลูกสาวของ ทักษิณ ชินวัตร ย่อมมีเดิมพันที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของประชาชน ที่เชื่อว่ารัฐบาลพลิกขั้วจะเข้ามาช่วยทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น สามารถลืมตาอ้าปากได้
ด้วยเหตุนี้ในงานสระเกล้าดำหัว ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่จัดขึ้นที่สวนสาธารณะรถไฟ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พ่อนายกฯ จึงได้พูดกับผู้ที่มาร่วมงาน “เรายังต้องช่วยกันและสามัคคีกันเพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยแข็งแรงอีกครั้ง ทำให้ไทยกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หรือ Make Thailand Great Again” พร้อมย้ำถึงความต้องการหลังได้เดินทางกลับมาเมืองไทย ยังไงก็ต้องทำเพื่อบ้านเมือง คิดอย่างเดียวหากบ้านเมืองดี ลูกหลานดี ทุกคนก็จะมีความสุขหมด
นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แพทองธาร ยังคงถูกตามแซะจากฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับการถูกครอบงำ หรือชี้นำจากอดีตนายกฯ ผู้เป็นพ่อ โดยเฉพาะปมที่เกี่ยวข้องทางการเมือง เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นอยู่แล้วที่จะถูกตีประเด็นนี้ แต่ก็ได้เห็นแล้วว่า ในส่วนที่เป็นอำนาจในการบริหารประเทศในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารนั้น แพทองธารได้แสดงออกอย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องปรึกษาบิดา ยิ่งเรื่องปรับ ครม.เมื่อพอใจกับรัฐมนตรีที่ร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องขยับเพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อม
นอกเหนือจากอุ๊งอิ๊งยืนยัน แม้จะเกิดข้อกังขาด้วยวลีทอง “ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง” อาจจะยังไม่ใช่การการันตีว่าจะไม่มีการปรับ ครม. แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในห้วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ที่มีการคาดหมายกันว่า เร็วสุดก็น่าจะหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายและผ่านวาระแรกของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ไปแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นปลายเดือนพฤษภาคม ส่วนปมว่าด้วยการเขี่ยภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้านนั้น นายใหญ่ก็ย้ำหนักแน่น “ไม่มี ไม่เคยคิดว่าจะให้ใครออกไปเป็นฝ่ายค้าน ไม่มีความคิดตรงนั้น”
เช่นเดียวกันกับการที่ถูกมองว่าอาจจะมีการขยับในส่วนของพรรคเพื่อไทย เพื่อที่จะได้ปูนบำเหน็จให้กับระดับนำในพรรคที่หวังจะมีเก้าอี้เสนาบดีเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล ทักษิณยืนยันไม่เกิดขึ้นเช่นกัน ไหน ๆ จะปรับแล้ว ก็ปรับในคราวเดียวกันให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่ว่าการตัดสินใจนั้นต้องฟังความเห็นของลูกสาวเป็นด้านหลัก ถ้ายังคงแฮปปี้แบบนี้คงไปฝืนใจกันไม่ได้ อีกทางก็เป็นการรอจังหวะประเมินพลังต่อรองทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลไปในตัวด้วย
แม้ว่ารัฐบาลแพทองธารกำลังจะบริหารประเทศเข้าสู่ขวบปีแรก แต่เป็นการเข้าสู่ปีที่สองของรัฐบาลพลิกขั้วแล้ว นั่นหมายความว่า เวลาของรัฐนาวาเหลืออีกครึ่งเทอม นอกจากการจะต้องเร่งปั๊มผลงานให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน ยังต้องเตรียมความพร้อมในการจัดวางคนเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้ากันตั้งแต่บัดนี้ พรรคร่วมแต่ละพรรคจึงไม่มีโอกาสที่จะจุดกระแส หรือสร้างประเด็นเพื่อให้เกิดความเห็นต่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้ง แตกแยก
จะเห็นได้ว่าทั้งแพทองธารและพ่อนายกฯ ย้ำประเด็นที่ตรงกันนั่นก็คือ ทุกคนต้องมีความสามัคคี เพื่อพาบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า จังหวะที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตอันเนื่องมาจากนโยบายสุดโต่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น จึงเป็นโอกาสที่ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของเพื่อไทย จะได้ใช้เป็นเวทีแสดงฝีมือในการประสานงาน เจรจา ถ้าทำสำเร็จเกิดประโยชน์กับประเทศย่อมนำมาซึ่งคะแนนนิยมที่จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ
ดูเหมือนว่าก้าวแรกก็น่าจะทำให้เสียรังวัดไปแล้ว กรณีที่มีการเลื่อนนัดหมายเจรจาจากวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมาออกไป โดยเกิดคำถามตั้งข้อกังขาจากฝ่ายค้านว่า ฝ่ายสหรัฐอเมริกาขอเลื่อนเอง หรือทีมไทยแลนด์ไม่พร้อมไปขอเลื่อน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม การขยับไปเช่นนี้น่าจะเกิดผลดี อย่างน้อยก็ได้เห็นว่าประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายที่ฝ่ายมะกันจ้องจะเล่นงานอย่างหนักหน่วง ซึ่งทำให้คณะเจรจามีเวลาในการเตรียมพร้อมได้ดีขึ้นเรื่องของข้อเสนอ การตอบสนอง และเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
เรื่องนี้ทักษิณก็มองว่า วันนี้สหรัฐฯ ต้องดีลกับหลายประเทศ และก็มียุทธศาสตร์ว่าเอเชียจะเอาอย่างไร โดยเฉพาะปมความใกล้ชิดกับจีน ซึ่งจะมีผลผูกพันทั้งเรื่องภาษีและเรื่องที่ไม่ใช่ภาษีปนอยู่ด้วยในการเจรจา ดังนั้น ประเทศไทยต้องไม่ผลีผลาม ใจเย็น ๆ ดูข้อมูลให้เหมาะ ต้องมีสติในการเจรจาให้ดี ช่วงที่การเมืองภายในถูกเร้าหรือถูกเสี้ยม เพื่อให้เกิดภาวะขัดคอกันเองจนลุกลามไปเป็นความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ยังมีช่องทางที่สามารถเบี่ยงความสนใจของคนส่วนใหญ่ได้ บรรดาแกนนำเพื่อไทยเองก็รู้สึกโล่งใจระดับหนึ่ง ภายใต้วิกฤตหลายอย่างที่เผชิญของแพทองธารก็มีโอกาสที่ทำให้ลอยตัวได้อยู่เหมือนกัน
อรชุน