กระทิงน้อย!โมนิก้าและทีมงาน

*ทุกครั้งที่ดัชนีไต่ระดับขึ้นอย่างช้าๆ จนวิ่งทะลุแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาขึ้นมาทีละจุด “โมนิก้า” มักได้ยินคำพูดของผู้คนจากสำนักต่างๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กระทิงน้อยมาแล้วเป็นประจำ พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นอย่างสุดโต่งว่า รุ่งอรุณยามเช้าเริ่มทอแสงอีกครั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนเกิดความฮึกเหิมตามไปด้วยเห็นๆ ดัชนีถึงพุ่งขึ้นมาปิดที่ 1,331.93 จุด บวกไป 6.14 จุด ด้วยมูลค่า 43,349.09 หมื่นล้านบาทไงล่ะค่ะ


*ทุกครั้งที่ดัชนีไต่ระดับขึ้นอย่างช้าๆ จนวิ่งทะลุแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาขึ้นมาทีละจุด “โมนิก้า” มักได้ยินคำพูดของผู้คนจากสำนักต่างๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กระทิงน้อยมาแล้วเป็นประจำ พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นอย่างสุดโต่งว่า รุ่งอรุณยามเช้าเริ่มทอแสงอีกครั้งนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนเกิดความฮึกเหิมตามไปด้วยเห็นๆ ดัชนีถึงพุ่งขึ้นมาปิดที่ 1,331.93 จุด บวกไป 6.14 จุด ด้วยมูลค่า 43,349.09 หมื่นล้านบาทไงล่ะค่ะ

*ถามว่า เดี๊ยนคิดอย่างไรเมื่อเห็นดัชนีบวกไป 37 จุด ภายใน 3 วัน  “โมนิก้า” ขอตอบกลับไปในทันทีว่า มันนี่เกมก็เป็นแบบนี้! กลุ่มทุนที่มีหน้าตักเยอะกว่า เจ้าเล่ห์มากกว่า สร้างเรื่องเก่งกว่า มักสร้างดีมานด์เทียมขึ้นมาเป็นประจำ และยังเป็นตัวล่อที่ทรงประสิทธิภาพ โอกาสที่ดัชนีจะไปต่อถึงเปิดกว้างสุดๆ เพราะทุกอย่างดูสวยหรูไปหมดเสียทุกอย่างพะยะค่ะ

*ทั้งที่ความเป็นจริงเห็นกันอย่างทนโท่ว่า เดี๋ยวต้องเจอกับภัยแล้งเล่นงาน ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจฝืดเคืองขึ้นไปอีก แถมยังมีเรื่องของราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเข้ามาป่วนความเชื่อมั่น หรือแม้กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ล้วนเป็นตัวแปรที่กดดันให้กระทิงน้อยแปรเปลี่ยนเป็นกระทิงหนุ่มไม่ได้ “โมนิก้า” ถึงรู้สึกแปลกๆ ที่เห็นดัชนีพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะก่อนหน้านี้เคยกระชากขึ้นแรง สุดท้ายก็ร่วงลงเละเทะนะซี

*เหมือนกับหุ้นแบงก์ตราใบโพธิ์ SCB จู่ๆ เด้งขึ้นอย่างร้อนแรงกว่าใครเพื่อน “โมนิก้า” เดาออกได้ทันทีว่า นี่เป็นฝีมือของพวกกองทุนชัดๆ และเหตุผลในการเข้าเล่นเที่ยวนี้ก็คงเป็นมุขเดิมๆ ในลักษณะ “ดันขึ้น แล้วทุบ” แต่ครั้งนี้ต่างกันนิดหนึ่งตรงที่หุ้นวิ่งขึ้นมายืนเหนือเส้น 200 วัน แถมเป็นการขึ้นมาปิดที่ระดับ 141 บาท บวกไป 4 บาท หรือขึ้นไป 3% เท่านั้นเอง จึงมีโอกาสที่หุ้นจะไปต่ออีกเฮือกหนึ่งนะจ๊ะ

*เช่นเดียวกับในรายของเจ้าจำปี THAI หลังจากทะลุเส้น 200 วัน ตรงบริเวณ 10.80 บาท ต่อจากนั้นหุ้นก็วิ่งระเบิดระเบ้อ วานนี้ถึงเห็นหุ้นขึ้นมาปิดที่ 12.40 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 4.20% ด้วยมูลค่าที่แน่นขนัดอีกครั้ง แถมเป็นการบวกติดต่อ 7 วัน แต่ถ้านับจากวันที่ทะลุเส้นแนวต้านจิตวิทยาดังกล่าว ก็เป็นการบวกติดต่อกันเบาะๆ 3 วัน จึงน่าจะได้เวลาพักยกให้น้ำ เพื่อลุยกันใหม่อีกรอบนะคะ

*ประเด็นดังกล่าวดูได้จากไซเคิลการเคลื่อนตัวของ TKN อาจมีการแตะมือเปลี่ยนตัวผู้เล่นบางกลุ่มไปพักข้างสนามก็จริง แต่หุ้นยังคงรักษาฐานแนวรับสำคัญที่บริเวณ 8 บาทได้อย่างเหนียวแน่น  “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่ก๊วนใหม่หันมาเล่นเกมที่ดุดันขึ้น หลังผลประกอบการปี 58 เติบโตแบบสุดๆ วานนี้ถึงเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 9.95 บาท บวกไป 0.95 บาท หรือขึ้นไป 10.60% ด้วยมูลค่า 280 ล้านบาท มันเป็นจังหวะที่ต้อง follow นะจะบอกให้

*ส่วนในรายของ SMPC ยังเป็นอะไรที่เหมาะต่อการเล่นรอบเสียจริงๆ แถมกำไรปี 58 เติบโตกว่าปีก่อนเกือบเท่าตัว จึงเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 9.40 บาท บวกไป 0.75 บาท หรือขึ้นไป 8.70% ด้วยมูลค่า 400 ล้านบาท แถมเป็นการซื้อขายบนค่า P/E ที่ระดับ 10 เท่า “โมนิก้า” ถือเป็นจังหวะที่นักลงทุนต้องโหนกระแสในทันที เพราะมันไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิดนะซี

*เช่นเดียวกับในรายของ ASIMAR พยายามผงกหัวขึ้นอีกรอบ ท่ามกลางผลงานที่แจ่มสุดๆ “โมนิก้า” ย่อมหันมาดูหุ้นตัวนี้ด้วยความสนใจที่ล้นปรี่ เพราะเมื่อดูการซื้อขายบนค่า P/E ที่ระดับ 8 เท่า โดยราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 4.70 บาท บวกไป 0.30 บาท หรือขึ้นไป 7% ด้วยมูลค่า 220 ล้านบาท แถมเป็นการเทคตัวขึ้นวันแรก ไม่ลองเสี่ยงดูสักตั้งแล้วจะเสียใจนะคะ

*เหมือนกับในรายของ STPI ไต่ระดับขึ้นอย่างช้าๆ จนสุดท้ายขึ้นมาปิดที่ 12.70 บาท บวกไป 0.60 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่าที่หนาแน่น “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับหันมาดูหุ้นตัวนี้โดยด่วน เพราะในช่วงต้นปีหุ้นยังอยู่ที่ 9.60 บาท วันนี้ขึ้นมาถึงระดับนี้ได้ ย่อมเป็นตัวเลือกที่นักเล่นต้องล็อกเป้าไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และทางที่ดีสุดในยามนี้ควรมีหุ้นตัวนี้ติดพอร์ตไว้บ้างเจ้าค่ะ

*ส่วนตัวที่น่ากังวลใจสุดๆ ในยามนี้ “โมนิก้า” กลับมองไปที่ BCH หลังราคาหุ้นเปิดแก๊ปไว้ตั้ง 2 ช่วง ซึ่งช่วงแรกอยู่ที่ราคา 8.50 บาท ส่วนช่วงที่สองอยู่ที่ 9.30 บาท ขณะที่ราคาหุ้นวานนี้พุ่งขึ้นมาปิดที่ 10.20 บาท บวกไป 0.95 บาท หรือขึ้นไป 10.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นแบบนี้ ดูตามรูปการที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ หุ้นต้องลงมาปิดแก๊ปให้ได้เสียก่อน ต่อจากนั้นถึงจะขยับขึ้นไปได้นะคะ

*กรณีเหมือนกับในรายของ EFORL ซึ่งกลุ่มผู้เล่นหลักหันมา ลากๆ ทุบๆ เพื่อความบันเทิงเริงใจนั้น “โมนิก้า” ถือเป็นเกมที่เล่นแรงเกินไปหน่อย และดูเหมือนว่า ยังพยายามสร้างสตอรี่ออกมาตลอดเวลา จึงไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเป็นอันขาด ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 0.65 บาท บวกไป 0.04 บาท หรือขึ้นไป 6.60% ด้วยมูลค่า 135 ล้านบาท เดี๊ยนขอถามหน่อยเถอะ!…กระโจนเข้าใส่ แล้วออกทันไหม?…ถ้าคิดว่าทัน ก็เชิญตามสบาย…อิอิอิ

Back to top button