สัญญาณร้ายใหม่พลวัต 2016
ดัชนีตลาดหุ้นไทย เดินหน้าบวกมา 4 วันติดต่อกัน จากระดับ 1,294.59 จุดเมื่อวันพฤหัสบดี มาอยู่ที่ ราคาปิดวานนี้ 1,333.42 จุด หรือคิดเป็นบวกไป 38.83 จุด หรือ 2.99% แล้วเริ่มมีอาการเรรวน เพราะไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1,340 จุดขึ้นไปได้ เพราะมีแรงขายออกมาค่อนข้างมาก หลังจากที่มีข่าวร้ายโดยอ้อม 1 ข่าว และข่าวร้ายโดยตรงอีก 1 ข่าว
วิษณุ โชลิตกุล
ดัชนีตลาดหุ้นไทย เดินหน้าบวกมา 4 วันติดต่อกัน จากระดับ 1,294.59 จุดเมื่อวันพฤหัสบดี มาอยู่ที่ ราคาปิดวานนี้ 1,333.42 จุด หรือคิดเป็นบวกไป 38.83 จุด หรือ 2.99% แล้วเริ่มมีอาการเรรวน เพราะไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1,340 จุดขึ้นไปได้ เพราะมีแรงขายออกมาค่อนข้างมาก หลังจากที่มีข่าวร้ายโดยอ้อม 1 ข่าว และข่าวร้ายโดยตรงอีก 1 ข่าว
ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีน ร่วงอย่างหนักอีกครั้งในวันเดียว ปิดที่ 2,741.25 จุดเมื่อวานนี้ ลบไป 187.65 จุด หรือ 6.41% จากแรงกดดันจากสกุลเงินหยวนนอกประเทศจีนที่อ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 และจากความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้น สร้างความวิตกกังวลว่าจะส่งกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและผลประกอบการของภาคเอกชน
ในขณะที่ในเดือน ม.ค.2559 มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่องรุนแรงกว่าเดิม โดยติดลบอีก 8.9% เมื่อ เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งแย่กว่าที่หดตัว 8.7% ในเดือน ธ.ค. 2558 และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะติดลบ 7.1% ไม่เพียงเท่านั้น
ตัวเลขที่ส่งออกที่ย่ำแย่ ยังไม่เท่ากับความเลวร้ายของกตัวเลขนำเข้าที่ติดลบมากถึง 12.37% ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพรวมของการลงทุน และการผลิตสินค้าที่มีการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ กับวัตถุดิบหรือกึ่งสำเร็จรูปที่ลดลงมาก ซึ่งตัวเลขที่เกิดขึ้นสามารถคาดเดาได้ว่า ตัวเลขส่งออกและการจ้างงานในอนาคตที่โยงใยกัน จะเลวร้ายกว่าที่เปิดเผยออกมาแล้วแน่นอน
ตัวเลขส่งออก และนำเข้า(ที่ส่งนัยถึงการลงทุนและการจ่างงานโดยอ้อม)ของไทย ไม่ใช่เรื่องแปลกใจเลยที่บรรดาผู้จัดการกองทุนในฮ่องกงและสิงคโปร์จะพากันคาดเดาว่า ในอนาคตอันใกล้ ธนาคารกลางของไทยจะต้องหาทางลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างแน่นอน เพราะลดต้นทุนการเงินของภาคธุรกิจและกระตุ้นการผลิต แต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นดาบสองคม เพราะ อาจจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงไปได้จากการี่ทุนไหลออกเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง
ทิศทางการวิเคราะห์ล่วงหน้าของผู้จัดการกองทุนเก้งกำไรข้ามชาติในเอเชียดังกล่าว สวนทางกับนักวิเคราะห์ของไทยบางรายที่พากันออกมาระบุว่า ทุนต่างชาติหรือฟันด์โฟลว์กำลังกลับเข้ามาในไทยต่อเนื่อง ทั้งที่จริงแล้วอาจจะเป็นแค่การเข้ามาหยั่งเชิงชั่วคราวเท่านั้นเอง
ข้อเท็จจริงจากปัจจัยภายนอกประเทศ และเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ บ่งชี้ว่า ขีดจำกัดขาขึ้นของตลาดหุ้นไทยนั้น ยังมีปัจจัยที่กดดันอยู่ข้างหน้าชัดเจน คำคาดเดาของนักวิเคราะห์หลายสำนักที่ว่า ดัชนีปลายปีนี้จะต้องขึ้นไปที่เหนือ 1,500 จุด หรือบางรายไปไกลถึง 1,600 จุด จึงค่อนข้างเลื่อนลอยและไร้ฐานที่มาอย่างแท้จริง ไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด แม้จัดตัดคำว่าผลประโยชน์ทับซ้อนออกไปแล้วก็ตาม
ในระยะสั้น โอกาสี่ดัชนีซึ่งไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญรอบล่าสุดที่ 1340 จุดเมื่อวานนี้ และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมในตลาดไม่ค่อยสวยงามเท่าใดนัก อาจจะเติบโตเฉลี่ยช้าที่สุด เพียงแต่ว่าราคาหุ้นที่ร่วงลงไปค่อนข้างมากเฉลี่ยมากกว่า 15% อจจะจูงใจให้มีการเข้าซื้อเก็งกำไรในหุ้นบางรายการได้บ้าง
ช่วงเวลาของการพักฐานะรยะสั้น จะต้องเกิดขึ้นกับดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า ก่อนที่จะกำหนดทิศทางแท้จริงว่า จะเป็นการแค่พักฐานหรือปรับฐานกันแน่ ซึ่งถือเป็นปกติธรรมดาของตลาดที่จะต้องมีธรรมชาติเป็นเช่นนี้
เหตุผลสำคัญที่ต้องกล่าวย้ำอีกครั้งว่าจะต้องเกิดขึ้น อยู่ที่ตลาดหุ้นไม่มีข่าวดีที่แท้จริงจะผลักดันให้เกิดแรงซื้อระลอกใหญ่ครั้งใหม่ ส่วนหนึ่งหนีไม่พ้นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่กำลังหมดเทศกาลประกาศงบการเงินงวดสิ้นปี และอีกส่วนหนึ่งจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ดูเหมือนโจทย์แก้ปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของกลุ่มพลังจำนวนมาก ยังมีลักษณะ”ลิงแก้แห”มากกว่าจะมีทางออกที่แท้จริง
สิ่งที่นักลงทุนจะต้องหวนกลับมาพิจารณายามนี้คือ จะทำตัวหรือปรับพอร์ตเงินลงทุนในตลาดอย่างไรจะเหมาะสมกับช่วงเวลาของการพักฐานะรยะสั้น หรือปรับฐานระยะกลาง
คำนิยามว่าด้วย การพักฐาน ( RETRACEMENT ) กินความถึง การเปลี่ยนทิศจากขาขึ้นของราคาหุ้น เป็นขาลงชั่วขณะหนึ่ง ระยะสั้นๆ มากไม่กี่วัน เพราะเข้าเขตซื้อมากเกินไป โดยไม่ได้เป็นการทำลายทิศทางของราคาหุ้น เนื่องจากพื้นฐานราคาของหุ้นยังมีความแข็งแกร่งสนับสนุนอยู่ โดยมีอนาคตแข็งแกร่งจากสินค้าหรือบริการที่จะทำรายได้เติบโตหรือกำไรล่วงหน้ารออยู่ เพียงแต่นักลงทุนจะอ่านหรือสังเกตหรือไม่เท่านั้น
ในบางกรณี หุ้นบางรายการมีความเปราะบางต่อดัชนีรวมของตลาด ราคายังไม่เข้าเขตซื้อมากเกิน แต่ตลาดพักฐานหรือปรับฐาน ก็ร่วงตาม กลับน่าจะถือเป็นโอกาสดีที่จะทำให้การซื้อเพิ่มขึ้นหรือถัวเฉลี่ยเพื่อรอแรงซื้อระลอกใหม่ที่จะดันราคาหุ้นกลับไปสู่จุดสูงกว่ายอดเดิม จนกว่าใกล้ราคาเป้าหมายระยะยาว
หุ้นที่อยู่ในช่วงพักฐาน จะขับเคลื่อนด้วยสัญญาณเทคนิคระยะสั้น สัดส่วนทางการเงินอื่นจะไม่ช่วยอะไรมากนัก
ส่วนการปรับฐาน (market correction)หมายถึง การเปลี่ยนทิศของแนวโน้มของราคาหุ้นที่เกิดจากพื้นฐานของกิจการที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้เกิดจากสัญญาณทางเทคนิคโดยตรง หรืออย่างเดียว แต่มีปัจจัยภายในและภายนอกตลาดผสมกัน อาทิเช่นทุนต่างชาตินิยอมถือไว้ถูกขายเพราะกระแสทุนไหลออก หรือ หุ้นมีผลประกอบต่ำกว่าคาด หรือ ตลาดเปลี่ยนเป็นขาลงทันที
โดยทั่วไป การปรับฐาน จะทำให้ดัชนีร่วงลงไปที่เฉลี่ย 10% แต่อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า ซึ่งตลาดหุ้นไทยในปี 2558 ได้ผ่านพ้นช่วงนั้นมาแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดอีกครั้งไม่ได้ โดยเฉพาะหากว่ามีสถานการณ์ทางการเมืองที่เลวร้าย ซึ่งทำให้ทิศทางการปฏิรูปเพื่อปรับยุทธศาสตร์ของประเทศตกอยู่ใต้บรรยากาศของสงครามแย่งพื้นที่สื่อ และโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งทำลายบรรยากาศของการลงทุน หรือทำให้คนไม่แน่นใจว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่วางเอาไว้จะได้รับการสานต่อมากน้อยเพียงใด
การเมืองไทยจากนี้ไป เป็นสถานการณ์ที่นักลงทุน นักสังเกตการณ์ หรือหมอดู จะพากันใจจดจ่อมากเป็นพิเศษ เพราะการที่ร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างกันออกมาส่งสัญญาณชัดเจนว่า คณะทหารที่ยึดอำนาจเมื่อสองปีก่อนต้องการใช้สิทธิยึดอำนาจในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ต่อไป ไม่ว่าจะเพราะไม่คุ้นเคยกับ”การลงจากหลังเสือ” หรือเพราะอาการพารานอยด์ทางอำนาจครอบงำจิตใจ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมไทยกลับมาสู่วงจรอุบาทว์ทางการเมืองครั้งใหม่อย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้ ในฐานะตัวแปรสำคัญของการลงทุน
ตัวแปรเหล่านี้คือสัญญาณร้าย ที่นักลงทุนต้องเตือนสติตัวเองว่า อย่าระเริงแบบแมงเม่าหลงแสงไฟเป็นอันขาด