พาราสาวะถี อรชุน
ข้อสังเกตใดก็แล้วแต่หากเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลคสช.มักจะถูกมองว่าเต็มไปด้วยอคติ ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงและเป็นธรรม ดังนั้น คำเตือนจากพวกเดียวกัน น่าจะเป็นภาพสะท้อนได้ดีและตรงที่สุด เหมือนเช่นที่ กษิต ภิรมย์ สมาชิกสปท.และคนของพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงผลงานของรัฐบาลคสช.
ข้อสังเกตใดก็แล้วแต่หากเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลคสช.มักจะถูกมองว่าเต็มไปด้วยอคติ ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงและเป็นธรรม ดังนั้น คำเตือนจากพวกเดียวกัน น่าจะเป็นภาพสะท้อนได้ดีและตรงที่สุด เหมือนเช่นที่ กษิต ภิรมย์ สมาชิกสปท.และคนของพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงผลงานของรัฐบาลคสช.
โดยกษิตเริ่มต้นที่การตั้งคำถามถึงภารกิจของคสช.เข้ามาเพื่อแก้ความล้มเหลวของประชาธิปไตยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมกับการวางรากฐานประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังร่างกันอยู่ ตลอดจนสร้างความปรองดองสมานฉันท์และปราบปรามการทุจริตเอาคนผิดมาดำเนินคดี เป็นรัฐบาลเปลี่ยนผ่านก่อนมีการเลือกตั้งในปี 2560 ตามโรดแมป ก่อนกลับเข้าสู่กรมกอง
แต่มาถึงนาทีนี้ทุกอย่างที่คสช.ทำยังไม่ตอบโจทย์เลยแม้แต่ข้อเดียว ความปรองดองก็ไม่เกิดขึ้น การปฏิรูปก็ไม่มีอะไรคืบหน้า แต่อยู่ดีๆจะมาขอต่ออายุอีก 5 ปี ช่วงจะลาจากเวที ทั้งที่อยู่มา 2 ปีแล้วไม่มีผลงาน เป็นเรื่องไม่มีเหตุผล ซึ่งความจริงหากประชาชนเห็นด้วยเขาก็ให้อยู่ต่อ แต่ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่สมควรอยู่ต่อไป ตรงไปตรงมาเหมือนตอนปล่อยวลีทอง อาหารดี ดนตรีไพเราะ จริงๆ
หลังคำพูดดังกล่าวหลุดมาจากปากของกษิต แน่นอนว่ากระบอกเสียงของรัฐบาลอย่าง สรรเสริญ แก้วกำเนิด ก็ออกมาตอบโต้ทันควัน แต่ประสาโฆษกไก่อูจะหาสาระสำคัญที่อธิบายถึงงานอันเป็นเนื้อเป็นหนังของรัฐบาลก็ลำบาก ทำได้เพียงแค่สร้างวาทกรรมจิกกัดเพื่อให้ถูกใจผู้มีอำนาจและตัวเองได้อยู่ต่อก็เท่านั้น จึงยังไม่มีใครเห็นใจและเข้าใจผู้มีอำนาจ
ความจริงเป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้กันอยู่แล้ว ปัญหาสำคัญๆจนป่านนี้ถ้าไม่นับรวบการใช้อำนาจพิเศษ สะกดความวุ่นวาย ขัดแย้ง อย่างอื่นไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรม ปากท้องของพี่น้องประชาชน ยังคงไม่มีอะไรมาพิสูจน์ว่า จนถึงวันนี้ทุกคนอยู่ดีกินดี เช่นเดียวกันกับภาวะเศรษฐกิจ ที่แม้จะมีส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากนานาประเทศ แต่นโยบายสำคัญของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลยังไม่เห็นอะไรผลิดอกออกผล
ยิ่งงานด้านการปฏิรูปคำพูดของกษิตที่บอกว่าไม่มีอะไรคืบหน้า ถือเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดี ไม่ถึงขั้นล้มเหลว แต่การย่ำอยู่กับที่ก็เท่ากับว่าไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากช่วงระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ การที่จะขออยู่ต่ออีก 5 ปีย่อมมีเสียง”ยี้”ดังกว่าการขานรับ ก็เหมือนอย่างที่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เตือนไว้วันก่อน มาด้วยดอกไประวังจะไปด้วยก้อนอิฐ
แห่ขานรับกันเป็นแถวสำหรับบรรดาคนที่ได้ดิบได้ดีจากการลากตั้ง กับแนวคิดของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่อยากให้มีส.ว.ลากตั้งทั้งหมดโดยอ้างถ่วงดุลกับส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งช่วงเปลี่ยนผ่าน งานนี้ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนกันอีกต่อไปแล้ว ก็น้องเล็กบอกเงื่อนเวลา 5 ปี หน้าที่ของพี่ใหญ่ก็คือบอกให้มันสุดๆไปเลยว่าเลือกตั้งทางอ้อมไม่เอาขอลากตั้งอย่างเดียว
กรธ.ที่กำลังทบทวนคำร้องขอของฝ่ายต่างๆต่อการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ คงไม่ต้องทำเป็นไขสือ รีบแถลงไว้เสียแต่เนิ่น ทั้งการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราและที่มาของส.ว.จะเป็นไปตามที่ครม.และสนช.ชงมาทุกประการ ก็อย่างที่รู้กันมีอะไรที่อับดุลเอ๊ย! มีชัย ฤชุพันธุ์ จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในครม.และคสช.บ้าง เพราะนั่งเป็นที่ปรึกษาและสมาชิกมาตั้งแต่ต้น
ยิ่งประเมินท่วงทำนองของฝ่ายความมั่นคงที่ห้ามแตะต้องร่างรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว ยิ่งเห็นภาพชัดถึงสิ่งที่จะต้องบรรจุไว้ ทุกอย่างเป็นไปตามปรากฏการณ์ข่าวที่โยนหินถามทางมาทั้งสิ้น เช่นเดียวกันกับการคลอดกฎหมายประชามติ เรื่องเข้มงวดต่อการรณรงค์ทั้งรับและไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ปัญหาอยู่ที่ว่าจะใช้การบังคับอย่างเคร่งครัดหรือต้องอาศัยการตีความ
แน่นอนว่ามันต่างกันอย่างลิบลับ หากเขียนไว้เป็นข้อๆฝ่ายรับและฝ่ายค้านทำอะไรได้ไม่ได้ ใครเดินนอกกรอบย่อมถือว่าทำผิดกฎหมาย แต่หากเขียนไว้เพื่อเปิดให้ตีความ คงไม่ต้องบอกว่า ผู้มีอำนาจวินิจฉัยจะให้คุณและให้โทษฝ่ายใดมากกว่ากัน งานประเภทศรีธนญชัยเรียกพี่คือสิ่งที่เนติบริกรตัวพ่อและน้องๆถนัด แต่ต้องคิดให้หนักหลังจากร่างรัฐธรรมนูญผ่านมือไปแล้ว จากนั้นไปจะต้องเล่นกับกระแสมวลชน
คนกันเองประเภทพวกออกมาชุมนุมโบกมือดักกวักมือเรียกรัฐประหารหรือที่เรียกกันว่าม็อบมีเส้น ไม่ได้เป็นปัญหาหรือหนามยอกอกฝ่ายความมั่นคงแต่อย่างใด ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยต่างหากที่ถือเป็นภัยร้ายแรงสำหรับผู้มีอำนาจ เป็นสัจธรรมปกติไม่มีเผด็จการที่ไหนไม่กลัวเสียงประชาชน แต่หนนี้ต้องจับตาดูว่าจะใช้วิธีการที่แยบยลอย่างไรในการจัดการกลุ่มเห็นต่างหรือจะใช้ยาแรงล่อกันแบบตรงๆหน้าด้านๆ
ได้ยินได้ฟังจากหน่วยงานที่ต้องคอยกำกับดูแลสื่อทีวีและวิทยุอย่างกสทช.เรียกสถานีโทรทัศน์บางช่องไปชี้แจง ไม่มีปิดกันเลยทีเดียวทหารสั่งมาให้เข้มงวดกันการนำเสนอเรื่องรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะของกลุ่มที่เห็นต่าง ประมาณว่าถ้าสนับสนุนยิ่งทำแบบสุดลิ่มทิ่มประตูให้ปล่อยผ่านไปได้เลย ส่วนพวกที่ค้านต้องเรียกไปชี้แจงกันทุกราย คณะกรรมการที่เป็นกลางต่างส่ายหน้าและอึดอัดกันสุดๆ
เรื่องร้อนของวงการสื่อเวลานี้คงหนีไม่พ้นประเด็น สรยุทธ สุทัศนะจินดา ถูกศาลสั่งจำคุก 13 ปี 4 เดือน โดยอยู่ระหว่างการประกันตัวเพื่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการออกมาพูดถึงคุณธรรม จริยธรรม ถึงขั้นที่จะต้องให้ผู้ดำเนินรายการรายนี้หยุดจัดกันไปเลย รู้สึกอยากจะอาเจียนกับต่อมคนดีของคนพวกนี้ยิ่งนัก
ถึงขั้นประกาศให้แวดวงสื่อปฏิรูปจริยธรรมอะไรต่อมิอะไร ยิ่งบางรายที่มีตำแหน่งแห่งหนในสมาคมวิชาชีพ ดัดจริตจีบปากจีบคอพูด ปุดโธ่!พวกไหน ใครกันที่แห่แหนตั้งบริษัทไปหากินกับทีวีช่องหนึ่งซึ่งเป็นองค์กรสื่อสาธารณะ นอมินีผุดกันให้พรึ่บรับประทานงบประมาณแผ่นดินกันมาจนพุงกาง แล้วยังมีหน้ามาอ้างคุณธรรม ทั้งๆที่ตัวเองและพวกพ้องเป็นพวกปากว่าตาขยิบของจริง
ไม่มีใครเถียงเรื่องสรยุทธกับคดีความต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่หากจะยกเอาเรื่องจริยธรรมและคุณธรรมมาพูดกันแล้ว มันต้องสังคายนาทั้งวงการ ถามว่าจะมีหมาขาวอยู่ซักกี่มากน้อย ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกหมาเทายันไปจนเป็นพวกหมาตัวดำกันทั้งนั้น ก่อนที่จะไปเห่าหรือกัดคนอื่น ควรส่องกระจกมองตัวเองเสียก่อนว่าสะอาดและหมดจดพอหรือยัง